บทความที่ได้รับความนิยม

วันพุธที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ผมกราบละครับฤาษี !

โดย พิทยะ ศรีวัฒนสาร

 ขอขอบคุณภาพฤาษีโจ๊จากโอเคเนชั่นเป็นอย่างยิ่ง

ทุกสังคมในโลกต่างก็พยายามสร้างเยาวชนให้เป็นคนดี มีวินัย มีเหตุมีผล และมีกิริยาวาจาสุภาพนอบน้อมถ่อมตน คุณสมบัติของผู้ดี(ผู้ประพฤติดี) ถือเป็นสัญลักษณ์แห่งการให้เกียรติ การแสดงอัธยาศัยไมตรีและการแสดงความเคารพตามวัยวุฒิ คุณวุฒิและชาติวุฒิแก่คนในสังคมเดียวกัน การแสดงความ นับถือกันตามฐานันดรภาพของบุคคล  ได้ร้อยรัดให้สังคมสยามอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสันติมานาน
รากฐานการนอบน้อมถ่อมตนส่วนหนึ่งมีจุดกำเนิดมาจากความผูกพันคุ้นเคยกับระบบการปกครองของคณะสงฆ์ ซึ่งเป็นครูที่สองรองจากบุรพการี สังคมพุทธมีพระวินัยบัญญัติไว้อย่างเคร่งครัดว่า แม้ผู้บวชก่อนจะอ่อนวัยกว่า ผู้บวชหลังก็ต้องให้การคารวะถือเป็นเยี่ยงพระพี่เลี้ยง หรือ พระอาจารย์ของตน  พระบรมวงศานุวงศ์ก็ยังต้องหมอบกราบพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาอย่างมิได้ยกเว้น 
ผู้เฒ่าผู้แก่จึงต้องอบรมบ่มสอนเยาวชนเช่นนี้ตั้งแต่เด็กมานานนับร้อยนับพันปี เพราะเห็นแก่ความสงบสุขของบ้านเมือง
สังคมสยามขณะนี้ถูกฤาษีที่สยบยอบหมอบราบคาบแก้วต่ออิทธิพลของแนวคิดของชาติตะวันตกมาไม่น้อยกว่า 80-100 ปี กำลังวางยาตำรับ “เสรีภาพ” ทีละน้อยๆ เหมือนน้ำหยดลงหิน เพื่อให้สังคมเร่าร้อนด้วยการชี้นำว่า การหมอบกราบแสดงความเคารพต่อผู้ใหญ่ที่ตนนับถือตามสถานภาพในสังคม หรือ ในครอบครัวเป็นการแสดงออกของความเป็นทาสทั้งๆ ที่การเป็นไพร่ทาสถูกยกเลิกไปตั้งแต่ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ในเมื่อสังคมสยามถูกร้อยรัดด้วยวัฒนธรรมของชาวพุทธเช่นนี้  หากจะให้ชาวสยามเลิกหมอบกราบบุรพการี หรือ บุคคลอันควรกราบไหว้ตามคำสอนทางพระพุทธศาสนา  ฤาษี มหาฤาษีก็คงจะต้องรื้อสร้างวัฒนธรรมสยามกันแบบแบบถอนรากถอนโคนให้หมด โดยเริ่มตั้งแต่สถาบันพระพุทธศาสนา หรือ .....ฯลฯ ลงไป  เพื่อที่จะปลูกฝังความคิดเรื่อง เสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ กันใหม่อีกครั้ง  หลังจากที่ได้พยายามไปแล้วแบบครึ่งๆ กลางๆ เมื่อร่วมหนึ่งศตวรรษที่ผ่านมา
อะไรจะเกิดขึ้น หากพลเมืองสยามจำนวนหนึ่ง “อัพยา” เสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพจากฤาษีเข้าไปด้วยใจบริสุทธิ์  จนพลอยแลเห็นวัฒนธรรมอันดีงามของสังคมกลายเป็นความล้าหลังน่าอับอาย “หมอบกราบอย่างนี้ ขายขี้หน้าชิบเป๋ง!” จนลุกไหลเลียลามไปกระทบคุณค่าทางวัฒนธรรมอื่นๆ อย่างมีนัยสำคัญ 
สังคมวัฒนธรรมสยามก็จะอ่อนแอและถูกทำลายลงไปเช่นเดียวกับสังคมอื่นๆ บางประเทศในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือด้วยยาขนานแรงข้างต้น
ความเสี่ยงทั้งหลายอาจจะเกิดขึ้นตามมาเป็นระลอกๆ  เมื่อลูกๆ หรือ สมาชิกของสังคมมองความคลั่งไคล้ “เสรีภาพ” อย่างชื่นชม บางโอกาสลูกสะใภ้สุดรักอาจยืนค้ำหัวพ่อสามีขณะที่ชี้หน้าด่าแม่ย่าผู้ของตนแบบลืมตัว ขณะที่นักเรียนบางสถาบันต่อต้านระเบียบโรงเรียน  และไม่ใกล้ไม่ไกลนั้นเองก็มีนักศึกษาจำนวนหนึ่งมุ่งถลกหนังฤาษีที่ไปขัดขวางการสอบบุหรี่บนอาคารเรียน
โน่นแน่ะ..! อาจารย์หนูทำหน้าเบื่อหน่ายเพราะศิษย์ขาจรผายลมใส่หน้าขณะลงยันต์อาคมแบบไม่เกรงใจ
โอ๊ะ...บระเจ้าไม๊....พลทหารตาเขียวใส่ครูฝึกที่สั่งลงโทษอย่างไม่สบอารมณ์
อ๊ะจ๊ะๆ..... นายตำรวจชั้นประทวนไขว่ห้างต่อหน้ารองสารวัตรที่เพิ่งเรียนจบจากโรงเรียนนายร้อย
พนักงานบริษัทต่อต้านวัฒนธรรมการทำงานในองค์กรของนายจ้าง  พนักต้อนรับของโรงแรมโอเรียล(......)เขย่ามือทักทายตบไหล่ผู้เข้าพักระดับวีไอพี บุคลากรวินจักรยานยนต์รับจ้างหย่อนอัธยาศัยต่อลูกค้า วัยรุ่นเดินผ่านขาใหญ่ในซอยด้วยท่าทางอ่าองค์โสภีเพราะผ่านการปลูกฝังมาจากครอบครัวเรื่องสิทธิและเสรีภาพในสังคม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร.......?!
ฤาษีน่าจะแลเห็นนะครับว่า.....มันจะยุ่งยากยาวนานขนาดไหน !  
แว่นของฤาษีกี่ตนๆ ก็มองไม่ออกเจียวดอกหรือว่า การหมอบกราบเป็นมารยาทสังคม เป็นความจริงใจที่จะต้องผ่านการฝึกฝนอบรมจากครอบครัวมาเป็นอย่างดี มิใช่เรื่องเสแสร้งที่จะไปทำกับใครๆก็ได้  
ความเสมอภาคและภราดรภาพในระบอบประชาธิปไตยทั่วเกิดขึ้นได้ในคูหาเลือกตั้งเท่านั้น  สื่อวิทยุและโทรทัศน์ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาเมื่อ 3 ก.ค. 2554  รายงานให้เห็นภาพของอดีตผู้นำคมช. ยืนบังเหลี่ยมหญิงแม่ค้ารอเข้าคูหาเลือกตั้งอย่างกระวนกระวายใจ  เป็นภาพน่าประทับใจที่ชาวสยามจะไม่มีทางได้เห็นหากไม่ใช่หน้าคูหาในวันลงคะแนนเสียงเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
สิทธิทางกฎหมายและความเท่าเทียมกันอื่นๆ ทางสังคมก็มีให้เห็นหลากหลาย ขณะที่มิอาจปฏิเสธได้ว่ายังมีความไม่ถูกต้องชอบธรรมอีกมากมายที่รอศิษยานุศิษย์ของผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองพ.ศ.2475 ที่มีคำประกาศว่า “ฉันรักอาศรมของฉัน เพราะอาศรมของฉันสอนให้ฉันรักประชาชน” ออกมาระดมแรงกายแรงใจช่วยกันสงเคราะห์ชาวสยามที่มีฐานะระดับล่างทางเศรษฐกิจให้พ้นจากการถูกเอารัดเอาเปรียบทางสังคมและเศรษฐกิจตามรอยการแผ้วของพระองค์ท่าน
แต่ 80 ปีผ่านไปแล้ว คนรุ่นหลังของคณะบุคคลที่มีผ้าเช็ดหน้าสีน้ำเงินเป็นคุยรหัสก็ยังเบียดแทรกอยู่ในระบบราชการโดยมิได้ยึดมั่นกับคำประกาศยิ่งใหญ่ข้างต้นนั้นอยู่เลยแม้แต่น้อย
วัฒนธรรมสยามที่ล้าหลังฉุดถ่วงสังคมไทยเลิกได้ก็เลิกเถอะครับ แต่สิ่งใดที่มีคุณต่อความสุขสันติร่มเย็นของประเทศสยาม สิ่งใดทนได้ก็ทน พยายามแก้ไขกันต่อไป ขอเพียงแต่อย่าได้มองความเป็นไปในสังคมวัฒนธรรมไทยด้วยสายชี้นำบิดเบือนอีกต่อไป 
หยุดมอมเมาสังคมด้วยตำรับแผนตะวันตกแบบไร้สาระเสียที หันกลับมาช่วยกันสร้างคนดีบนพื้นฐานวัฒนธรรมไทยดีกว่า..... 
เขาสอนกันมาดีแล้ว ...อย่าให้ครูอนุบาลของลูกหลานเยาวชนเราเสียใจเลยครับ 
ผมกราบละครับฤาษี !

วันอังคารที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2555

ประวัติศาสตร์อันตราย...? หรือ.... นักประวัติศาสตร์อันตราย !

โดย Bidya Sriwattanasarn เมื่อ 29 มีนาคม 2012 เวลา 16:49 น. ·


ปาฐกถาของศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร. เจตนา นาควัชระ เรื่อง "เพราะรักจึงสมัครเข้าร่วม: อาเซียนฉบับสามัญชน" ตอนหนึ่งชี้ให้เห็นถึงการแพร่กระจายของเครื่องถ้วยสังคโลก "คุณภาพส่งออก" ไปยังอินโดนีเซียโดยถูกนำไปใช้ในพิธีกรรมเกี่ยวกับความตาย ทำให้ช่วยรักษาสภาพของวัตถุไว้ได้เป็นอย่างดี

เมื่อ 28 มีค. 55 ผู้เขียนไปเข้าร่วมการสัมมนาวิชาการเรื่อง “อาเซียน ประชาคมในมิติวัฒนธรรม ความขัดแย้งและความหวัง” ระหว่าง 28-30 มีนาคม 2555 ที่ศูนย์มานุษยวิทยา สิรินธร ตลิ่งชัน กรุงเทพฯ โดยใช้สถานภาพBloggerของเว็บบล็อกสยาม-โปรตุเกสศึกษา(http://siamportuguesestudy.blogspot.com)เป็นใบเบิกทาง เป็นใบเบิกทาง เนื่องจากได้พยายามเดินเรื่องตามกระบวนการภายใต้อำนาจของฝ่ายบริหาร เพื่อเบิกค่าสัมมนา(1,000 บาท)แล้ว แต่ปรากฏว่า ปีนี้ไม่เหลืองบประมาณส่งเสริมและพัฒนาบุคลากรด้านนี้เลย ดังนั้น จึงได้ติดต่อฝ่ายจัดงานเพื่อของลงทะเบียนในฐานะสื่อมวลชน

ผู้เขียนสนใจการสัมมนาวิชาการครั้ง เพราะจะมีนักวิชาการผู้มีชื่อเสียงจากต่างประเทศเดินทางมาบรรยายเรื่อง ประวัติศาสตร์อันตราย อันเป็นส่วนหนึ่งของการอธิบายวิกฤตด้านวัฒนธรรมการเมืองในสังคมไทยด้วยมุมมองแบบมาร์กซิสม์ โดยก่อนหน้านี้ นักวิชาการผู้นี้เคยกล่าวหาสังคมไทยเป็น "สังคมตอแหล" อย่างปราศจากความเข้าใจรากเหง้าทางวัฒนธรรม ซึ่งนับเป็นอันตรายเป็นอย่างยิ่ง ต่อความมั่นคงของสถาบันหลักของชาติ


การที่ยังไม่แลเห็นว่ามีนักวิชาการคนใดตอบโต้คำวิจารณ์ดังกล่าว ในฐานะพลเมืองไทย ผู้เขียนได้พยายามติดตาม ศึกษาและค้นคว้าเอกสารประวัติศาสตร์ เพื่อใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงและตอบโต้การเผยแพร่แนวคิดดังกล่าวมาระยะหนึ่งแล้ว การเข้าร่วมการสัมมนาวิชาการนี้ก็หวังที่จะแลเห็นประเด็นหักล้างความเห็นข้างต้นให้มากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ดี ในความพยายามที่จะลงทะเบียนเข้าร่วมสัมมนานั้น ในชั้นต้นเจ้าหน้าที่ขอให้ไปลงทะเบียนแบบบุคคลทั่วไป แต่ผู้เขียนปฏิเสธเนื่องจากได้สอบถามข้อมูลมาก่อนล่วงหน้าแล้วว่าจะยืนยันลงทะเบียนในสถานภาพของการเป็น blogger ของเว็บไซต์ http://siamportuguesestudy.blogspot.com


ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร. เจตนา นาควัชระ เน้นให้เห็นถึงการอยู่ร่วมกันอย่างสันติภายใต้เงื่อนไขของการผสมผสานทางวัฒนธรรมและเคารพซึ่งกันและกัน โดยหลีกเลี่ยงปัจจัยอ่อนไหวที่จะทำให้เกิดความขัดแย้งทางการเมือง และชี้ว่าประวัติศาสตร์ไม่อันตราย ทำให้เบาใจว่า ในประเทศไทยยังมีนักวิชาการกระแสสร้างบ้านแปงเมืองเป็นตัวเป็นตนอยู่ให้เห็นอยู่บ้าง

ศาสตราจารย์ ดร. ธงชัย วินิจจะกูล แสดงปาฐกถาเรื่อง "ประวัติศาสตร์อันตราย" โดยบอกว่าประวัติสาสตร์ที่อันตราย คือ ประวัติศาสตร์ที่วางอยู่บนพื้นฐานความเชื่อ ส่วนประวัติศาสตร์ที่วางอยู่บนพื้นฐานของเหตุและผล คือ ประวัติศาสตร์ที่สามารถวิพากษ์วิจารณ์ได้ โดยมียึดหลักของอนารยชน คือ การมีความอดทนอดกลั้น( Tolerance) ต่อความเห็นที่แตกต่างออกไปจากตน ดังนั้น ศาสตราจารย์ธงชัย วินิจจะกูลจึงเห็นว่า ไม่ว่าอดีตจะเป็นอย่างไรก็ต้องเอาหลักฐานออกมากางกันให้เห็นหมดบนโต๊ะ และก็ถกเถียงกันได้อย่างเต็มที่

หลังการปาฐกถาของ ผู้เขียนตัดสินใจเดินทางกลับและแจ้งให้เจ้าหน้าที่ลงทะเบียนทราบว่า ตอนบ่ายจะไม่เข้าร่วมสัมมนาและจะส่งLinkของเว็บไซต์กลับไปยังศูนย์มานุษยวิทยาภายหลัง

ปาฐกถาของดร.ธงชัยทำให้เกิดคำถามที่ตกค้างอยู่ในใจว่า คนรักกัน ถ้าจะให้ความรักยืนนาน เราจะพูดกันด้วยคำหวานต่อกัน หรือ จะพูดจากันแบบผรุสวาท คนรักจะต้องอดกลั้นต่อกันไหม คนรักต้องถนอมน้ำใจกันไหม ถ้าเพื่อนบ้านหมางใจกัน จะใช้วิธีการอ่อนน้อมเข้าหากันแล้วปรับท่าทีเจรจากันอย่างมิตร หรือ จะใช้วิธีการถกเถียงเพื่อหาผิดหาถูกกัน ซึ่งผลที่ตามมาคือจะทำให้เลิกรากันไป หรือ จะยิ่งทะเลาะกันหนักเข้าไปอีก ฯลฯ

ตอนเย็น ผู้เขียนไปจับจ่ายสินค้าในตลาดเทสโก โลตัส สาขาลาดพร้าว ระหว่างเข้าคิวรอจ่ายเงิน ก็ได้รับอภินันทนาการบัตรส่วนลดใบละ 60 บาท จำนวน 2 ใบ ซึ่งตัดมาจากหนังสือพิมพ์รายวันจากลูกค้าสุภาพสตรีที่รอจ่ายค่าสินค้าอยู่ข้างหน้ามาแบบงงๆ แต่ก็ไม่ลืมขอบคุณเบาๆ

เงื่อนไขของบัตรสมนาคุณ คือ ต้องซื้อสินค้าขั้นต่ำ 600 บาท สำหรับ 1 บิล ต่อบัตรสมนาคุณ 1 ใบ ทั้งสองท่านนั้นคงซื้อสินค้าไม่ถึง 1,200 บาท จึงไม่สามารถใช้บัตรสมนาคุณได้ครบคนละ 2 ใบ

ท่ามกลางช่วงเวลาที่สมาชิกสภาผู้ทรงเกียรติกำลังเล่นบทบาทช่วงชิงการกล่าวหาและไขว่คว้าการได้เปรียบทางการเมือง โดยหาช่องทางที่จะสร้างข่าวในสื่อมวลชนให้ครึกโครมให้มากที่สุด บางฉีกรายงานของกรรมาธิการปรองดอง บางกลุ่มวอล์คเอ๊าท์จากห้องประชุม ฯลฯ

ในสังคมน้อยๆ ย่อย ๆ อีกหลายอณูของกรุงเทพฯ ก็อาจจะยังมีวัฒนธรรมแห่งความเอื้ออารีต่อกันและกันตามแต่โอกาสจะอำนวยหลงเหลือให้เห็นได้เสมอ

วันเสาร์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2555

Das Parte du Sião… หลักฐานเกี่ยวกับสยาม

โดย พิทยะ ศรีวัฒนสาร

เมื่อวันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555 ผู้เขียนได้รับอภินันทนาการพัสดุไปรษณีย์ ชื่อ “Das Parte du Sião(หลักฐานเกี่ยวกับสยาม) ” ผู้จัดส่งให้ คือ ดร. มิเกล คัสเตลลู บรังกู (Migel Castelo Branco) นักประวัติศาสตร์และบรรณารักษ์อาวุโส หอสมุดแห่งชาติโปรตุเกส ดุษฎีบัณฑิตสาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจากสถาบันชั้นสูงด้านสังคมศาสตร์และรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยวิทยาการแห่งลิสบัว (Instituto Superior de Ciências Sociais e Políticas da Universidade Técnica de Lisboa) ด้วยผลงานวิทยานิพนธ์เรื่อง “ ความสัมพันธ์ระหว่างโปรตุเกสกับสยามในสมัยรัตนโกสินทร์ พ.ศ.2525-2482) จึงขอแสดงความขอขอบคุณเป็นอย่างยิ่งมา ณ ที่นี้


“Das Parte du Sião”เป็นหนังสือประกอบการจัดนิทรรศการที่ระลึกความสัมพันธ์ 500 ปีระหว่างชาวลูโซ (โปรตุเกส) กับชาวไทย พ.ศ.2054-2554 หนา 118 หน้า บวกกับภาพประกอบพิเศษอีก 10 หน้า (ไม่ระบุเลขหน้า) รวมเป็น 128หน้า ภายในประกอบด้วยเนื้อหาสังเขปดังนี้


- 500 ปี แห่งความสัมพันธ์ระหว่างชาวลูโซกับชาวสยาม โดย ศาสตราจารย์ อันตอนิอู วาชกงเซลูช ดึ ซาดันญา(António Vasconcelos de Sadanha) มหาวิทยาลัยวิทยาการแห่งลิสบัว เป็นบทความสั้นๆ ยาว 3 หน้า กล่าวถึงความเป็นมาของการจัดนิทรรศการ

-ยุคทองของชาวโปรตุเกสในสยาม(A Época de Ouro dos Protukét do Sião) โดย ดร. มิเกล คัสเตลลู บรังกู (Migel Castelo Branco) เป็นบทความมาตรฐานยาว 20 หน้า

-รายการเอกสารโบราณที่เกี่ยวข้องกับสยาม(Catálogo) ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่16-20 โดยระบุรายการอ้างอิง คำย่อที่ใช้ในหนังสือและแหล่งค้นคว้าเอกสารโบราณ รวมถึงหนังสือประวัติศาสตร์นิพนธ์และบทความวิชาการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่16, 20 และ21


ในส่วนบทความของดร. มิเกล คาสเตลลู บรังกู เรื่อง ยุคทองของชาวโปรตุเกสในสยามนั้น ดร.บรังกู คงต้องการจะเรียกคนไทยเชื้อสายโปรตุเกสว่า “ชาวโปรตุเกต” (Protuget) ตามแบบอย่างคำไทยที่เรียกชาวโปรตุเกสโดยไม่การออกเสียงเน้น(accent)ตัวสะกด ส.เสือ อันเป็นลักษณะของการออกเสียงแบบไทย แต่เมื่อคำดังกล่าวถูกถ่ายกลับไปเป็นภาษาโปรตุเกส คือ “Protukét” เมื่ออ่านแล้วกลับต้องออกเสียงเป็น “โปรตุแคต” ไม่ใช่ “โปรตุเกต(Protuket” ตามเสียงในภาษาไทย


ผู้เขียนเคยเสนอในงานสัมมนาวิชาการ เรื่อง “ 500 ปี ความสัมพันธ์สยามประเทศกับโปรตุเกสและชาติตะวันตกในอุษาคเนย์ 2054-2554(25มกราคม 2555) ” จัดโดยโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย บริษัทโตโยต้ามอเตอร์ประเทศไทย จำกัด มหาวิทยาลัยราชภัฎพระนครศรีอยุธยาและหน่วยงานต่างๆ ณ หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยราชภัฎพระนครศรีอยุธยาว่า คนไทยเชื้อสายโปรตุเกสมีความภาคภูมิใจในความเป็นคนเชื้อสายโปรตุเกสมาอย่างเหนียวแน่นและยาวนาน


คุณศานติ สุวรรณศรี เล่าให้ฟังถึงคำสอนของมารดาเมื่อครั้งยังเด็กอันชวนให้ตื้นตันใจว่า “ลูกต้องจำไว้ว่าเรามันพวกโปรตุเกสนะลูก”การที่นักประวัติศาสตร์โปรตุเกสบันทึกคำเรียกคนไทยเชื้อสายโปรตุเกส ว่า “ชาวโปรตุเกต หรือ โปรตุแกต” อาจถือเป็นการแบ่งแยกพวกเขาออกจากความเป็น “โปรตุเกส” แบบขาดการเข้าถึงจิตใจของกลุ่มชนที่เคยร่วมวัฒนธรรมโปรตุเกสด้วยกันมาก่อน แม้ในปัจจุบันความเป็น“โปรตุเกส”ทางด้านกายภาพ ความเป็นอยู่ ภาษาและวัฒนธรรมของคนไทยเชื้อสายโปรตุเกสจะเจือจางลงไปมากแล้ว แต่สิ่งสำคัญที่เชื่อมโยงความเป็นโปรตุเกสของพวกเขาไว้อย่างเหนียวแน่นและมั่นคง คือ ความเป็นชาวคริสตัง

วันศุกร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2555

กรณีพิพาทกับฝรั่งเศส (เหตุการณ์ร.ศ.112): การพลีชีพในอีสานเพื่อรักษาเขตแดนสยาม

โดย

พิทยะ ศรีวัฒนสาร


ผู้เขียนไม่เห็นด้วยที่มหาฤาษีตนหนึ่งจากมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน-เมดิสันร่ายมนตราไว้ว่า รัฐสมัยเก่าไม่ถือการครอบครองดินแดนเป็นเรื่องสำคัญ อย่างน้อยกรณีพิพาทสยาม-อินโดจีนฝรั่งเศส (เหตุการณ์ร.ศ.112) ซึ่งปรากฏเรื่องราวอยู่ในเอกสารจำนวนมาก ก็สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของทางการสยามในการปกป้องพระราชอาณาเขตอย่างเต็มกำลังสามารถ


มูลเหตุของความขัดแย้งในเหตุการณ์ร.ศ.112 เบื้องต้นมาจากความพยายามขยายอิทธิพลของจักรวรรดินิยมฝรั่งเศสต่อเนื่องมาทางตะวันตกเข้าสู่ตะวันออกเฉียงเหนือของสยาม [1] พงษาวดารหัวเมืองมณฑลอิสาณ ผลงานการเรียบเรียงของหม่อมอมรวงษ์วิจิตร (ม.ร.ว.ปฐม คเนจร) สะท้อนให้เห็นความเสียสละของข้าราชการไทยทั้งฝ่ายหัวเมือง ข้าราชการส่วนกลางและเจ้าพนักงานแผนที่ซึ่งปฏิบัติหน้าที่อยู่ ณ ชายแดน เพื่อปกป้องเขตขัณฑสีมาขณะนั้นอย่างเต็มความสามารถ


กรณีพิพาทสยาม-อินโดจีนฝรั่งเศส (เหตุการณ์ร.ศ.112) ปรากฏเรื่องราวอยู่ในเอกสารจำนวนมาก มูลเหตุของความขัดแย้งมาจากความพยายามขยายอิทธิพลของจักรวรรดินิยมฝรั่งเศสต่อเนื่องมาทางตะวันตกเข้าสู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของสยาม [2] พงษาวดารหัวเมืองมณฑลอิสาณ ผลงานการเรียบเรียงของหม่อมอมรวงษ์วิจิตร (ม.ร.ว.ปฐม คเนจร) สะท้อนให้เห็นสำนึกความหวงแหนอธิปไตยของมาตุภูมิและความเสียสละของข้าราชการไทยทั้งฝ่ายหัวเมือง ข้าราชการส่วนกลางและเจ้าพนักงานแผนที่ซึ่งปฏิบัติหน้าที่อยู่ ณ ชายแดนขณะนั้น


สาเหตุเริ่มต้นเมื่อวันที่31มีนาคม พ.ศ.2436 “รัฐบาลฝรั่งเศสแต่งให้เรสิดองปัสตาเปนแม่ทัพ พร้อมด้วยนายร้อยเอกโทเรอ แลนายร้อยตรีโมโซ แลมองซิเออปรุโช คุมทหารญวนเมืองไซ่ง่อน200 คน แลกำลังเมืองเขมรพนมเปน ๆ อันมากลงเรือ 33 ลำ พร้อมด้วยสาตราวุธยกเปนกระบวนทัพขึ้นมาตามลำน้ำโขง เข้ามาในพระราชอาณาเขตร ขับไล่ทหารซึ่งรักษาด่านบงขลาแขวงเมืองเชียงแตง แลด่านเสียมโบก ยึดเอาด่านทั้ง 2 ตำบลได้แล้ว


วันที่ 2 เมษายน ร.ศ. 112 ฝรั่งเศสก็เคลื่อนทัพถึงเมืองเชียงแตง บังคับหลวงพิพิธสุนทร (อิน) และนายร้อยโทคร้ามข้าหลวงกับทหาร 12 คน ซึ่งอยู่รักษาเมืองเชียงแตงให้ข้ามไปอยู่ ณ เมืองธาราบริวัตรฝั่งโขงตะวันตก โดยอ้างเหตุว่า ดินแดนในฝั่งโขงตะวันออกและเกาะดอนในลำน้ำโขงเป็นเขตแขวงของญวนซึ่งอยู่ใน “บำรุงฝรั่งเศส”


เวลานั้น ข้าหลวง ผู้รักษาเมือง กรมการ และราษฎรเมืองเชียงแตงไม่ทันรู้ตัว“ก็พากันแตกตื่นควบคุมกันมิติด” เพราะไม่คิดว่าฝรั่งเศส“จะเปนอมิตรขึ้น” ดังนั้นก่อนที่จะประกาศแสดงขาดทางพระราชไมตรีฝ่ายข้าหลวงกับพลทหาร 12 คนจำต้องออกจากเมืองเชียงแตง ข้ามมาอยู่ ณ เมืองธาราบริวัตร ครั้นฝรั่งเศสได้เมืองเชียงแตงแล้ว ก็แต่งนายทัพนายกองคุมทหารแยกย้ายกันยกเป็นกระบวนทัพล่วงเข้ามาตั้งอยู่ตาม เกาะดอนต่าง ๆ ณ แก่งลีผี และเดินกระบวนทัพ เข้ามาโดยทางบก ตลอดฝั่งโขงตะวันออกจนถึงเมืองหลวงพระบาง


พระประชาคดีกิจ (แช่ม) ข้าหลวงส่วนหน้าหัวเมืองลาวฝ่ายใต้ ณ เมืองสีทันดร เห็นว่าฝรั่งเศสประพฤติผิดสัญญาทางพระราชไมตรี จึงให้ข้าราชการฝ่ายทหารและพลเรือนในบังคับบัญชาคุมกำลังแยก ย้ายไปตั้งป้องกันกองทัพฝรั่งเศสไว้ แล้วมีหนังสือไปห้ามปรามกองทัพฝรั่งเศสตามทางพระราชไมตรี เพื่อให้ยกถอนกองทัพกลับออกไปเสียให้พ้นพระราชอาณาเขต


แต่ฝรั่งเศสกลับยกกองทหารรุดล่วงเข้ามา โดยทหารกองหนึ่ง มีกำลังอาวุธประมาณ 400 คนเศษ ยกมาทางเรือ 26 ลำ เข้าจอด ณ ดอนละงา แล้วขึ้นบกมาบนดอน ขณะนั้นหลวงเทเพนทรเทพ ซึ่งคุมกำลังยกไปตั้งอยู่ ณ ดอนนั้นจึงได้ออกไปบอกให้ฝรั่งเศสยกกองทัพกลับออกไปจากพระราชอาณาเขตสยาม ฝรั่งเศสกลับอ้างว่าที่ตำบลเหล่านั้นเป็นของฝรั่งเศส ให้หลวงเทเพนทร์ยกกำลังไปเสียถ้าไม่ไปจะรบ แล้วก็เป่าแตรเรียกทหารเข้าแถวเตรียมรบ


หลวงเทเพนทร์เห็นว่า ห้ามปรามทหารฝรั่งเศสไม่ฟัง จึงได้ถอยมาตั้งอยู่ ณ ดอนสม และแจ้งข้อราชการยังพระประชาคดีกิจ พระประชาคดีกิจจึ่งได้ “เขียนคำโปรเตศ”[3] ยื่นต่อฝรั่งเศส และลงเรือน้อยไปหาฝรั่งเศส ณ ค่ายดอนสาคร ถามได้ความว่า นายทหารฝรั่งเศสซึ่งเป็นแม่ทัพในกองนี้ ชื่อ เรสิดองโปลิติก และ กอมมันดองมิลิแตร์


พระประชาคดีกิจได้ยืนยันต่อนายทัพฝรั่งเศสว่า ที่ตำบลเหล่านี้เป็นพระราชอาณาเขตรสยาม การยกทัพล่วงเข้ามาเป็นการละเมิดสัญญาทางพระราชไมตรี ขอให้รีบยกทหารกลับออกไปเสีย


ฝ่ายนายทัพฝรั่งเศสตอบว่าราชทูตไทยที่ปารีสกับรัฐบาลสยามที่กรุงเทพ ฯ ได้ยอมยกที่ตำบลเหล่านี้ และดินแดนตามลำแม่น้ำโขงทั้งหมดให้แก่ฝรั่งเศสแล้ว


พระประชาคดีกิจจึงตอบว่า จะยอมเชื่อตามถ้อยคำของฝรั่งเศสมิได้ เพราะยังไม่ได้รับคำสั่งจากรัฐบาลสยาม ขอให้ฝรั่งเศสยกทหารถอยออกไปเสียให้พ้นพระราชอาณาเขตก่อน แต่ฝรั่งเศสไม่ยอมถอนไป พระประชาคดีกิจ จึ่งยื่นคำ “โปรเตศ” ไว้ต่อนายทัพฝรั่งเศส แล้วลากลับมา


ฝ่ายฝรั่งเศสได้ยกทัพล่วงล้ำเข้ามาเป็นอันดับ และยังได้ระดมยิงกองทหารฝ่ายสยามซึ่งไปตั้งป้องกันรักษาขึ้นก่อน ถึงกระนั้น “กองรักษาฝ่ายสยาม” ก็หาได้ยิงโต้ตอบต่อสู้ไม่ โดยถือว่ากรุงฝรั่งเศสกับประเทศสยามยังมิได้ขาดจากสัญญาทางพระราชไมตรีกัน เพราะรัฐบาลสยามยังมิได้มีคำสั่งไปให้ต่อสู้ฝรั่งเศสประการใดไม่ จึงได้แต่เพียงให้ตั้งรักษามั่นอยู่ แลได้พยายามทุกอย่าง ที่จะมิให้มีความบาดหมางต่อทางพระราชไมตรี และทั้งได้มีหนังสือห้ามปรามไปด้วยแล้ว


แต่ฝรั่งเศสกลับระดมยิงปืนใหญ่น้อยมายังกองรักษาฝ่ายสยาม “เปนสามารถ” ฝ่ายสยามจึ่งได้ยิงโต้ตอบไปบ้างแต่เล็กน้อยโดยมิได้มีเจตนาที่จะทำลายชีวิตผู้คน เป็นแต่แสดงให้เห็นว่าฝ่ายไทยก็มีปืน แต่ฝ่ายฝรั่งเศสก็ยิ่งหนุนเนื่องรุกรบเข้ามาทุกที จนเจ้าหน้าที่ฝ่ายสยามเห็นว่าเหลือกำลังที่จะห้ามปรามและปฏิบัติจัดการโดยดีกับฝรั่งเศสได้แล้ว จึงจำเป็นต้องจัดกองรบออกระดมยิงต่อสู้บ้าง เพื่อรักษาความเป็นอิสรภาพและป้องกันชีวิตของประชาชนชายหญิงอันอยู่ในความปกครองไว้ “แลทั้งสองฝ่ายต่างก็ต้องอาวุธป่วยตายแลตั้งประชันหน้ากันอยู่”


การตอบโต้ของทางการสยาม


เมื่อพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร ข้าหลวงใหญ่หัวเมืองลาวกาว ซึ่งประทับอยู่ ณ เมืองอุบล ทรงทราบว่าฝรั่งเศส “แสดงเปนอมิตร” ขึ้นดังนั้นแล้ว จึ่งได้โปรดให้เกณฑ์กำลังเมืองศรีสะเกษ เมืองขุขันธ์ เมืองสุรินทร์ เมืองมหาสารคาม เมืองร้อยเอ็ด (เมืองละ 800 คน) เมืองสุวรรณภูมิ เมืองยโสธร (เมืองละ500 คน) และให้เกณฑ์เมืองขุขันธ์อีก500คน ให้พระศรีพิทักษ์ (หว่าง) ข้า หลวงเมืองขุขันธ์คุมไปตั้งรักษาอยู่ ณ เมืองมโนไพร และเมืองเซลำเภา โปรดให้หลวงเทพนรินทร์ (วัน) ซึ่งกลับจากหน้าที่เมืองตะโปนไปเป็นข้าหลวงแทนพระศรีพิทักษ์อยู่เมืองขุขันธ์ และให้นายสุจินดา ขุนอินทรประสาท (กอน) นายร้อยตรีคล้าย นายร้อยตรีโชติ คุมทหาร 100คน และกำลัง 500 คน พร้อมด้วยสาตราวุธ เป็นทัพหน้า รีบยกออกจากเมืองอุบลแต่วันที่ 10 เมษายน ลงไปสมทบช่วยพระประชาคดีกิจ ณ เมืองสีทันดร


วันที่ 24 พฤษภาคม พระณรงค์วิชิต (เลื่อน) ได้ให้กำลังไปรักษาค่ายที่ดอนเดชไว้ตามเดิม และแต่งกองซุ่มไปอยู่ดอนตาล ดอนสะดำ คอยตีตัดมิให้ฝรั่งเศสเวียนเดินเรือเข้ามาในช่องได้
การใช้บทพระอัยการศึกจัดการกับทหารหนีทัพ


เพี้ยศรีมหาเทพ นครจำปาศักดิ พาพล 19 คนหนี อุปฮาด (บัว) เมืองกมลาไศรย ซึ่งตั้งค่ายอยู่ตำบลชลเวียงจับได้ พระประชาคดีกิจได้ปรึกษาโทษให้ประหารชีวิตตามบทพระอัยการศึก ฝ่ายนายทัพนายกองได้ขอชีวิตไว้ พระประชา (แช่ม) จึ่งได้ให้ทำโทษ เฆี่ยนเพี้ยศรีมหาเทพ 90ที พวกพลคนละ 30 ที


วันที่ 7สิงหาคม พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร โปรดให้พระยาศรีสิงหเทพ (ทัด) ออกจากอุบล นำข้อราชการไปทูลพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นสรรพสิทธิประสงค์ ณ เมืองนครราชสีมา และโปรดให้หลวงธนะผลพิทักษ์ (ดิศ) และ ขุนชาญรณฤทธิ (ชม) ข้าหลวงนครราชสีมาไปรับราชการมณฑลลาวกาว


การทำแผนที่พระราชอาณาเขตชายแดนอีสานใต้และตะวันออก


วันที่14 สิงหาคม พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร โปรดให้นายเพิ่มพนักงานแผนที่ ไปตรวจทำแผนที่ตั้งแต่เมืองชาณุมานมณฑล ไปโขงเจียง ปากมูล และตามสันเขาบันทัด จนถึงช่องโพยแขวงเมืองขุขันธ์


วันที่ 3 กันยายน นายร้อยโทพุ่มได้รับพระราชทานสัญญาบัตร เป็นนายร้อยเอก ขุนโหมหักปัจนึก นายร้อยตรีถมยา เป็นนายร้อยเอกขุนอึกอธึกยุทธกรรม


วันที่ 14 ตุลาคม นายร้อยตรีเชิด เป็นลมชิวหาสดมภ์ถึงแก่กรรม[4]


ครั้นวันที่ 11มิถุนายน เวลาบ่าย 4 โมง ฝรั่งเศสก็ระดม ยิงปืนใหญ่น้อยกระสุนแตกมาที่ค่ายสยาม ณ ดอนเดช 15 ครั้งแล้วก็สงบไป


ครั้นเวลาย่ำรุ่งฝรั่งเศสยิงอิกพักหนึ่ง จนโมงเช้าจึ่งหยุด ครั้นเวลาเย็นฝรั่งเศสยิงปืนใหญ่มา 1 นัด แลยิงปืนเล็ก 20 ตับ แล้วก็สงบไป


วันที่14มิถุนายนฝรั่งเศสยิงปืนเล็กกราดมาจากดอนคอน 10 ตับ เวลาเที่ยงยิง 6 ตับ เวลาบ่ายยิงปืนใหญ่1นัด ที่ค่ายดอนช้าง 1นัด แล้วต่างก็สงบไป


วันที่16 มิถุนายน เวลาเช้าฝรั่งเศสยกกองทหารขึ้นดอนเดช ถึงหัวดอนเดชตรงค่ายไทยที่ดอนหางสม เมื่อปักธงฝรั่งเศสลงแล้ว dHเป่าแตรให้ทหารระดมยิงค่ายหางสม ฝ่ายไทยได้ยิงโต้ตอบอยู่ประมาณชั่วโมงเศษ แล้วกองทหารฝรั่งเศสก็ล่าถอยกลับไป


ในค่ำวันที่16มิถุนายน คนตระเวนฝ่ายกองทัพไทยไปพบหนังสือที่ฝรั่งเศสปักไว้ ที่ดอนนางแอ่นจึงนำมาส่งพระประชา ในหนังสือนั้นเซ็นชื่อ กอมมันดันเดลาวิเล แม่ทัพฝรั่งเศส ถึงแม่ทัพไทยความว่า


“ดอนสมแลเกาะดอนฝั่งตวันออกเปนของฝรั่งเศส ให้ฝ่ายไทยถอยทัพไปเสีย ถ้าไม่ฟังจะขับไล่ พระประชาจึ่งตอบไปว่า ฝรั่งเศสฝันเห็นเอาเองผิดจากถ้อยคำของคนที่ถือสาสนาคฤส เตียน ถ้าฝรั่งเศสขืนบุกรุกมา ชาวประเทศสยามก็จำต้องต่อสู้มิให้ฝรั่งเศสดูหมิ่นได้”


จากนั้นพระประชาได้ให้นายสุกนายสิงปลอมเข้าไปในค่ายฝรั่งเศส กลับมาแจ้งว่าฝรั่งเศสกำลังหามเรือข้ามแก่งสมพมิตรมาแต่ท่าสนาม 17 ลำ และแต่งเรือเตรียมทัพจะยกอ้อมดอนตาลขึ้นทางฝั่งตะวันตกมาตีตัดหลังค่ายดอนสม ขนาบกับทัพบกจึงจะเดินมาทางดอนเดช พระประชาก็ได้จัดให้นายทัพนายกอง แยกย้ายกันออกไปตั้งกองรับกองทัพฝรั่งเศสทุกด้าน
……………………………………………………………………………………
หลังเหตุการณ์ร.ศ.112 สยามต้องเสียดินแดนจำนวนหนึ่งแก่รัฐบาลอินโดจีนฝรั่งเศส นอกจากหลักฐานประวัติศาสตร์จะบันทึกของความเจ็บปวดที่ผู้ปกครองสยามได้รับแล้ว ราษฎรอาสาสมัครและทหารจำนวนไม่น้อยสักข้อความแสดงให้เห็นถึงความเจ็บปวดจากความสูญเสียดังกล่าวด้วยข้อความว่า “ร.ศ.112”


ความรู้สึกผูกพันต่อบูรณาการของเขตแดนและความหวงแหนอธิปไตยในอดีตเป็นอารมณ์ที่เคยเกิดขึ้น แต่ช่างน่าอับอายเหลือเกิน เมื่อเวลาผ่านไปเพียง 100 ปีเศษ กลับมีมหาฤาษีและสานุศิษย์ผูกเรื่องโยงหลักฐาน เสนอนิทานแนวมาร์กซิสม์แล้วบอกต่อลูกหลานของบรรพบุรุษผู้พลีชีพรักษาพระราชอาณาเขตสยามขณะนั้นว่า “สยามไม่เคยเสียดินแดนดังกล่าว เพราะสยามไม่เคยครอบครองดินแดนนั้นๆ มาก่อน”

การอ้างอิง
[1] คัดจากฉบับพิมพ์ครั้งแรกในประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๔ เมื่อปีเถาะ สัปตศก พ.ศ. ๒๔๕๘ อ้างใน http://th.wikisource.org/wik ขอขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง

[2] คัดจากฉบับพิมพ์ครั้งแรกในประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๔ เมื่อปีเถาะ สัปตศก พ.ศ. ๒๔๕๘ อ้างใน http://th.wikisource.org/wik ขอขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง

[3] ประท้วง
[4] ลมชิวหาสดมภ์ ป็นโรคลมที่อยู่ในกลุ่มของลมสุมนา หรือ สุสมนา มีอาการสำคัญ คือ ลิ้นกระด้าง คางแข็ง เซื่องซึม เจรจามิได้ (ขอขอบคุณ http://www.healthbe1st.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=539186963&Ntype=1)

วันพฤหัสบดีที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2555

ตู่ ... ( discourse ) ! องค์หนึ่ง: ว่าด้วยทฤษฎี


โดย Bidya Sriwattanasarn เมื่อ 1 มีนาคม 2012 เวลา 17:27 น. ·

ตู่....เป็นทฤษฎีทางสังคมศาสตร์ แปลมาจากคำว่า discourse ของมิเชล ฟูโกลต์ (Michel Foucault) นักคิดฝรั่งเศส แนวคิดเรื่อง "ตู่" นี้นักวิชาการไทยนำมาเผยแพร่ราว พ.ศ. 2524-2525 ในรูปแบบอลังการอย่าง rococo ว่า "วาทกรรม"


ทฤษฎี "ตู่" มีพิ้นฐานมาจากพยายามในการเชื่อมโยงเรื่องสำคัญ 3 ประการ เข้าด้วยกัน คือ ความรู้ อำนาจและความจริง กล่าวโดยรวมๆ ได้ว่า "ตู่" เป็นการสร้างความรู้ การผลิตความรู้หรือการนิยามความรู้บางอย่างขึ้นมาเพื่อให้มีอำนาจในการกำหนดความจริง

"ตู่" ถูกกล่าวถึงในรูป "วาทกรรม" จากคำอธิบายในวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี ดังนี้

"วาทกรรม (discourse) คือ รูปแบบของความคิด หรือ กรอบความคิด เกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ที่มีลักษณะเป็นสถาบันและมีการสืบทอด "ซึ่งแสดงออกผ่านทางการพูดและเขียนอย่างจริงจัง/ประโยคหรือนิยามที่ใช้บ่อยๆ" เพื่อที่จะคงไว้ซึ่งลักษณะของวาทกรรมและการปรับเปลี่ยนลักษณะของวาทกรรมนั้นๆ


วาทกรรมแต่ละเรื่องมีระบบความคิด และเหตุผลของตน ในการอธิบายหรือมอง "ความจริง" ซึ่งวาทกรรมเรื่องเดียวกัน แต่ต่างระบบความคิดและเหตุผลก็จะมีความแตกต่างกันออกไป ในการให้อรรถาธิบายต่อเรื่องนั้น ๆ ดังนั้น ในเรื่องเดียวกันจึงมีวาทกรรมหลายชุดที่เกี่ยวข้องและวาทกรรมแต่ละชุดก็มีความขัดแย้ง หรือ ปฏิเสธ "ความจริง" ของวาทกรรมอีกชุดหนึ่งได้ นอกจากนี้แล้ว การเกิดขึ้นของวาทกรรมแต่ละชุดในแต่ละเรื่องย่อมมีจุดประสงค์ ตัวอย่างเช่น วาทกรรมของกลุ่มที่ต่อต้านเกย์ ก็มีจุดประสงค์เพื่อที่จะต่อต้านชายที่มีพฤติกรรมรักร่วมเพศ และพยายามที่จะแสดงให้เห็นว่าพฤติกรรมรักร่วมเพศเป็นพฤติกรรมที่ขัดต่อศีลธรรมอันดีของสังคม และยังเป็นการละเมิดบรรทัดฐานของสังคม ตลอดจนถือว่า พฤติกรรมเช่นนี้เป็นสิ่งผิดปกติและสมควรที่จะได้รับการแก้ไขให้ถูกต้อง เป็นต้น วาทกรรมแต่ละชุดในเรื่องเดียวกันจึงมีปฏิสัมพันธ์กันในเชิงขัดแย้งอยู่เสมอ แต่ละวาทกรรมต่างก็มีฐานทางความคิดที่สร้างขึ้นมาเพื่อสร้างความถูกต้องให้กับวาทกรรมของกลุ่มตน" (ขอขอบคุณข้อมูลจากวิกิพีเดีย)


ในบริบททางวิชาการ ผลงานชิ้นใดมีโอกาสนำ "ตู่" มาใช้เชื่อมโยงอย่างสอดรับกับเหตุผลและหลักฐานประวัติศาสตร์ได้มากเพียงใด หรือ สะท้อนความคิดในการตอบโจทย์ต่อสังคมได้ลุ่มลึกน่าเชื่อถือมากเพียงใด ก็ยิ่งสร้างอำนาจในการผลิตความน่าเชื่อถือต่อความคิดตามโครงเรื่องของตนมากเพียงนั้น
ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ สังคมอาจจะคิดตรงกันข้ามกับนักทฤษฎี "ตู่" ผู้นั้น

แม้ "ตู่" จะมีอิทธิพลต่อความคิดของนักวิชาการสายสังคมศาสตร์นานเกิน 30 ปี โดยผู้ใช้ทฤษฎี "ตู่" ของมิเชล ฟูโกลต์ในรูปของ "วาทกรรม- discourse" คนแรก คือ สมเกียรติ์ วันทะนะ บรรณาธิการการของจดหมายข่าวสังคมศาสตร์ แต่ผู้เขียนก็มีโอกาสได้เปิดหูเปิดตากับทฤษฎี "ตู่" ในรูปคำของ "วาทกรรม" เมื่อประมาณ พ.ศ. 2538 "แบบบ่งวย บ่งง" จากการยกขึ้นมาถกเถียงในชั้นเรียนของทวีศักดิ์ เผือกสม เพื่อนร่วมรุ่นผู้สนใจปรัชญาตะวันตกอย่างเร่าร้อน จากนั้นก็ได้อาศัยลมปากกระเซ็นกระสายจากทฤษฎี "ตู่" ของมิเชล์ ฟูโกลต์ ไปใช้"ประโดยคำ" ดวยความภาคภูมิใจ
ทฤษฎี "ตู่" ใช้กันมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งในวงการน้ำหมึกและวงการข่าวจอแก้ว กิรได้เห็นมา ฤาษีใหญ่ ฤาษีน้อยเวลาจะทิ่มใคร ประเด็นไหนก็ต้องยก "ตู่" ขึ้นมาตกแต่งอาภรณ์คำ ..... ธำรงศักดิ์"ชี้" " วาทกรรม" สร้างสำนึก"เสียดินแดน" เป็นเครื่องมือกุมอำนาจ (ขอขอบคุณ www.matichon.co.th) เป็นต้น

นั่นคือ ธำรงศักดิ์เสนอว่า ความคิดเรื่องการเสียดินแดน เป็น "ตู่" ของผู้ปกครองในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ขณะเดียวกันหลักฐานต่างๆที่ธำรงศักดิ์นำมาอ้างอิงสนับสนุนแนวคิดตนก็เป็น "ตู่" อีกรูปแบบหนึ่งเช่นกัน

ลักษณะดังกล่าวจึงเป็นเหมือนการสร้าง "ตู่ใหม่" ขึ้นมาล้มล้างความเชื่อของ "ตู่เก่า" หรือ จะกล่าวอีกนัย คือ เป็นการพยายามรวบรวมหลักฐานขึ้นมาเพื่อชี้ว่า "ตู่เก่า" เป็นความคิดผิดๆ ขอให้หันมาเชื่อ "ตู่ใหม่" กันเถิด.....นั่นเอง

วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ฤาษีรังแกฉัน!




โดย Bidya Sriwattanasarn เมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 เวลา 11:45 น. ·






เมื่อก่อนเชื่อกันว่า ยิ่งมีความรู้ก็ยิ่งคุยกันรู้เรื่อง ไม่ต้องพูดมาก และตั้งแต่โบราณนานมาแล้วที่ฤาษีได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้รู้ผู้สั่งสอนศิลปาคม ช่วยกันสร้างบ้านแปงเมืองให้กุลบุตรกุลธิดา วาสุเทวฤาษีแห่งดอยสุเทพและสุกกะทันตฤาษีแห่งเมืองละโว้ช่วยกันสร้างเมืองหริภุญชัยเมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่12-13 พ่อขุนรามคำแหง พ่อขุนงำเมืองและพญามังรายก็เรียนศิลปวิทยาการร่วมguru เดียวกันที่เมืองละโว้

ไม่ว่าฤาษี มหาฤาษี หรือครูบาอาจารย์ในอดีต ล้วนมีส่วนร่วมกันสร้างชาติบ้านเมืองให้อยู่ร่วมกันเป็นปึกแผ่นมั่นคงมาถึงทุกวันนี้ ทั้งทางตรงหรือทางอ้อมไม่น้อยหน้าขุนทหารคนใด แม้ว่าครู หรือ มหาฤาษีจะไม่ต้องสละเลือดพลีชีพดังทหารหาญรั้วของชาติก็ตาม

อนิจจา ทุกวันนี้ ยิ่งเรียนมาก ยิ่งรู้มาก ยิ่งคุยกันไม่รู้เรื่อง ฤาษี มหาฤาษี บางตนจึงประสานเสียงร่ายมนตาสามัคคีเภท(มนตราทำลายความสามัคคี เทียบได้กับคำว่า สามัคคีภิทโทษ) กัดกร่อนวิถีความเป็นไทย โยกคลอนสถาบันหลักของประเทศโดยอ้างคาถาเสรีภาพทางวิชาการที่เกินขอบเขต ลืมสิ่งอันควรหรือมิควรที่เคยฝังรากลึกอยู่ในวัฒนธรรมสยาม

ฤาษีบางตนบอกว่า ฤาษีที่ต้องการแก้ไขมาตรา 112 "หลายๆ ท่านเป็นนักประวัติศาสตร์ที่มีความรู้ประวัติศาสตร์อย่างแท้จริง เป็นวิทยาศาสตร์มากกว่าที่เรียนกันในโรงเรียนที่ท่านรัฐมนตรีเรียนอย่างแน่นอน"

ฤาษีบางตนบอกว่า ผู้อื่นไม่มีเหตุผลเพียงพอ แต่กลับกล่าวอุปมาแบบไม่เป็นวิทยาศาสตร์ว่า หากท่านเจ้าของชื่อทุนยังมีชีวิตอยู่ในวันนี้ ท่านอาจจะผิดหวังที่....

ฤาษีบางตนอ้างว่า ถูกเหยียบหัว ทั้งๆที่ตนเองกำลังย่ำหัวใจของเพื่อนร่วมชาติ มหาฤาษีตนหนึ่งบำเพ็ญตบะมานาน ยกย่องนารีน้อยผู้หลงผิดนางหนึ่ง และทำนายว่าจากผลงานที่เห็น เธอผู้นั้นสามารถจะขึ้นชั้นเป็นมหาเสนาบดีได้ต่อไปในภายภาคหน้า โดยมิได้บอกกล่าวให้หมดเปลือกว่าไปว่า ผู้จะนั่งในตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงได้นั้น มิใช่ว่ามีแค่เพียงความกล้าที่จะฉีกประเพณีอันดีงานในบ้านเมืองแล้วก็จะขึ้นไปบริหารประเทศได้อย่างราบรื่น แต่ยังต้องมีสติปัญญาเฉลียวฉลาด มีเพื่อน มีสังคม มีธรรมชาติและบุคลิกภาพที่สุขุม นุ่มนวล รอมชอม มีวิสัยทัศน์ ฯลฯ



ชมอย่างนี้ หากไม่รู้เท่าทัน ก็เหมือนกึ่งชมกึ่งผลักให้ตกกระได!

มหาฤาษีตนหนึ่งเสวยสุขอยู่ต่างแดนมานานหลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ แต่ยังแวะเวียนเหาะมาร่าย "ภิทคาถา" ย่อยเป็นระยะๆ ล่าสุดแถลงว่า "อีก 50 ปี ประชาชนไทยจะตระหนักในคุณค่าแห่งมนตราภิทคาถาของคณะฤาษีหมอความ !"

ประวัติศาสตร์ชาติไทยมิได้เริ่มต้นเมื่อพ.ศ.2475 วีรบุรุษของคนไทยก็มีหลากหลาย ทุกระดับ ทุกชนชั้น มิได้มีเพียงปัญญาชนจากตระกูล "ผู้มีอันจะกิน" เพียงคนเดียวอย่างที่พยายามจะบอกให้เห็นคล้อยตาม

นักประวัติศาสตร์ในอดีตมีผลงานที่บ่งชี้ว่า บันทึกเหตุการณ์เพื่อสร้างความปรองดองและการอยู่ร่วมกันของชนทุกหมู่เหล่าภายในชาติ ชีวิตที่เรียบง่ายในอดีตของชาวบ้านที่ตื่นขึ้นมาออกไปทำมาหากินในไร่ ในสวน ในนา หรือ เข้าเดือน ส่วนแม่บ้านและลูกๆ ก็ทำอาหาร ล้างถ้วยจาน ถักทอผ้า ประดิษฐ์ประดอย หรือ ค้าขาย ถึงวันนักขัตฤกษ์ก็ร้องรำทำเพลง ทำบุญ ทำขวัญให้กำลังใจกันเช่นนี้ ชั่วนาตาปี ไม่เกี่ยวข้องกับการบ้านการเมือง เรื่องพื้นบ้านพื้นเมืองจึงเป็นเพียงถ่ายทอดสู่กันฟังแบบปากต่อปาก



ความพยายามในอดีตที่จะเสกสร้างรัฐธรรมนูญที่ไม่มีชีวิตให้กลายเป็นสถาบันหลักแทนที่สถาบันเก่าแก่ของชาติจึงไม่ประสบผลสำเร็จ

ขณะที่เรื่องราวของบ้านเมืองทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพงศาวดาร การทำสงคราม กฏหมาย กฎมนเทียนบาล การบูรณะซ่อมสร้างศาสนสถาน การติดต่อกับต่างประเทศ ฯลฯ กลับถูกบันทึกไว้อย่างละเอียด

หลักฐานของทูตPero Vaz de Sigeirra (ค.ศ.1684-1686) ระบุว่า ระหว่างการเข้ามาเจรจา เรื่อง การเตรียมการเข้าเฝ้าสมเด็จพระนารายณ์ ขุนนางที่เดินทางมาพบทูต มี "note book(สมุดบันทึก)" มาด้วยเสมอ นอกจากนี้หลักฐานของชาวฝรั่งเศสคนหนึ่งก็ยืนยันว่า ชาวสยามเป็นคนที่มีนิสัยการชอบจดบันทึก ชี้ให้เห้นถึงความตระหนักในหน้าที่ขององค์การปกครองในอดีตเป็นอย่างดี ทำให้อดคิดแบบท้าทายไม่ได้ว่า ผลงานเล่มหนาของชิมง เดอ ลาลูแบร์ และบาทหลวงทิโมลิอง เดอ ชัวซี ที่อ้างจดหมายเหตุของคนชาติตะวันตกยันกลับไปกลับมา และยังอ้างข้อมูลจาก Incognita Informants (แหล่งข้อมูล) ชาวสยามด้วย


ซึ่งดีไม่ดีข้อมูลมากมายส่วนหนึ่งอาจคัดลอหรือแปลมาจากเอกสารภาษาสยามโดยตรงก็ได้

แล้วฤาษี มหาฤาษีแห่งกาลบัดนี้ ย้อนดูตัวเองบ้างหรือไม่ว่า ยังสร้างคุณประโยชน์ตอบแทนแผ่นดินเกิดเพียงพอแล้วหรือยัง...หยุดร่ายมนตราสามัคคีภิทคาถาเถิด


...หยุดสร้างความสับสนและร้าวฉานให้แก่คนในชาติบ้านเมืองเสียที!