บทความที่ได้รับความนิยม

วันพุธที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ผมกราบละครับฤาษี !

โดย พิทยะ ศรีวัฒนสาร

 ขอขอบคุณภาพฤาษีโจ๊จากโอเคเนชั่นเป็นอย่างยิ่ง

ทุกสังคมในโลกต่างก็พยายามสร้างเยาวชนให้เป็นคนดี มีวินัย มีเหตุมีผล และมีกิริยาวาจาสุภาพนอบน้อมถ่อมตน คุณสมบัติของผู้ดี(ผู้ประพฤติดี) ถือเป็นสัญลักษณ์แห่งการให้เกียรติ การแสดงอัธยาศัยไมตรีและการแสดงความเคารพตามวัยวุฒิ คุณวุฒิและชาติวุฒิแก่คนในสังคมเดียวกัน การแสดงความ นับถือกันตามฐานันดรภาพของบุคคล  ได้ร้อยรัดให้สังคมสยามอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสันติมานาน
รากฐานการนอบน้อมถ่อมตนส่วนหนึ่งมีจุดกำเนิดมาจากความผูกพันคุ้นเคยกับระบบการปกครองของคณะสงฆ์ ซึ่งเป็นครูที่สองรองจากบุรพการี สังคมพุทธมีพระวินัยบัญญัติไว้อย่างเคร่งครัดว่า แม้ผู้บวชก่อนจะอ่อนวัยกว่า ผู้บวชหลังก็ต้องให้การคารวะถือเป็นเยี่ยงพระพี่เลี้ยง หรือ พระอาจารย์ของตน  พระบรมวงศานุวงศ์ก็ยังต้องหมอบกราบพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาอย่างมิได้ยกเว้น 
ผู้เฒ่าผู้แก่จึงต้องอบรมบ่มสอนเยาวชนเช่นนี้ตั้งแต่เด็กมานานนับร้อยนับพันปี เพราะเห็นแก่ความสงบสุขของบ้านเมือง
สังคมสยามขณะนี้ถูกฤาษีที่สยบยอบหมอบราบคาบแก้วต่ออิทธิพลของแนวคิดของชาติตะวันตกมาไม่น้อยกว่า 80-100 ปี กำลังวางยาตำรับ “เสรีภาพ” ทีละน้อยๆ เหมือนน้ำหยดลงหิน เพื่อให้สังคมเร่าร้อนด้วยการชี้นำว่า การหมอบกราบแสดงความเคารพต่อผู้ใหญ่ที่ตนนับถือตามสถานภาพในสังคม หรือ ในครอบครัวเป็นการแสดงออกของความเป็นทาสทั้งๆ ที่การเป็นไพร่ทาสถูกยกเลิกไปตั้งแต่ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ในเมื่อสังคมสยามถูกร้อยรัดด้วยวัฒนธรรมของชาวพุทธเช่นนี้  หากจะให้ชาวสยามเลิกหมอบกราบบุรพการี หรือ บุคคลอันควรกราบไหว้ตามคำสอนทางพระพุทธศาสนา  ฤาษี มหาฤาษีก็คงจะต้องรื้อสร้างวัฒนธรรมสยามกันแบบแบบถอนรากถอนโคนให้หมด โดยเริ่มตั้งแต่สถาบันพระพุทธศาสนา หรือ .....ฯลฯ ลงไป  เพื่อที่จะปลูกฝังความคิดเรื่อง เสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ กันใหม่อีกครั้ง  หลังจากที่ได้พยายามไปแล้วแบบครึ่งๆ กลางๆ เมื่อร่วมหนึ่งศตวรรษที่ผ่านมา
อะไรจะเกิดขึ้น หากพลเมืองสยามจำนวนหนึ่ง “อัพยา” เสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพจากฤาษีเข้าไปด้วยใจบริสุทธิ์  จนพลอยแลเห็นวัฒนธรรมอันดีงามของสังคมกลายเป็นความล้าหลังน่าอับอาย “หมอบกราบอย่างนี้ ขายขี้หน้าชิบเป๋ง!” จนลุกไหลเลียลามไปกระทบคุณค่าทางวัฒนธรรมอื่นๆ อย่างมีนัยสำคัญ 
สังคมวัฒนธรรมสยามก็จะอ่อนแอและถูกทำลายลงไปเช่นเดียวกับสังคมอื่นๆ บางประเทศในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือด้วยยาขนานแรงข้างต้น
ความเสี่ยงทั้งหลายอาจจะเกิดขึ้นตามมาเป็นระลอกๆ  เมื่อลูกๆ หรือ สมาชิกของสังคมมองความคลั่งไคล้ “เสรีภาพ” อย่างชื่นชม บางโอกาสลูกสะใภ้สุดรักอาจยืนค้ำหัวพ่อสามีขณะที่ชี้หน้าด่าแม่ย่าผู้ของตนแบบลืมตัว ขณะที่นักเรียนบางสถาบันต่อต้านระเบียบโรงเรียน  และไม่ใกล้ไม่ไกลนั้นเองก็มีนักศึกษาจำนวนหนึ่งมุ่งถลกหนังฤาษีที่ไปขัดขวางการสอบบุหรี่บนอาคารเรียน
โน่นแน่ะ..! อาจารย์หนูทำหน้าเบื่อหน่ายเพราะศิษย์ขาจรผายลมใส่หน้าขณะลงยันต์อาคมแบบไม่เกรงใจ
โอ๊ะ...บระเจ้าไม๊....พลทหารตาเขียวใส่ครูฝึกที่สั่งลงโทษอย่างไม่สบอารมณ์
อ๊ะจ๊ะๆ..... นายตำรวจชั้นประทวนไขว่ห้างต่อหน้ารองสารวัตรที่เพิ่งเรียนจบจากโรงเรียนนายร้อย
พนักงานบริษัทต่อต้านวัฒนธรรมการทำงานในองค์กรของนายจ้าง  พนักต้อนรับของโรงแรมโอเรียล(......)เขย่ามือทักทายตบไหล่ผู้เข้าพักระดับวีไอพี บุคลากรวินจักรยานยนต์รับจ้างหย่อนอัธยาศัยต่อลูกค้า วัยรุ่นเดินผ่านขาใหญ่ในซอยด้วยท่าทางอ่าองค์โสภีเพราะผ่านการปลูกฝังมาจากครอบครัวเรื่องสิทธิและเสรีภาพในสังคม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร.......?!
ฤาษีน่าจะแลเห็นนะครับว่า.....มันจะยุ่งยากยาวนานขนาดไหน !  
แว่นของฤาษีกี่ตนๆ ก็มองไม่ออกเจียวดอกหรือว่า การหมอบกราบเป็นมารยาทสังคม เป็นความจริงใจที่จะต้องผ่านการฝึกฝนอบรมจากครอบครัวมาเป็นอย่างดี มิใช่เรื่องเสแสร้งที่จะไปทำกับใครๆก็ได้  
ความเสมอภาคและภราดรภาพในระบอบประชาธิปไตยทั่วเกิดขึ้นได้ในคูหาเลือกตั้งเท่านั้น  สื่อวิทยุและโทรทัศน์ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาเมื่อ 3 ก.ค. 2554  รายงานให้เห็นภาพของอดีตผู้นำคมช. ยืนบังเหลี่ยมหญิงแม่ค้ารอเข้าคูหาเลือกตั้งอย่างกระวนกระวายใจ  เป็นภาพน่าประทับใจที่ชาวสยามจะไม่มีทางได้เห็นหากไม่ใช่หน้าคูหาในวันลงคะแนนเสียงเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
สิทธิทางกฎหมายและความเท่าเทียมกันอื่นๆ ทางสังคมก็มีให้เห็นหลากหลาย ขณะที่มิอาจปฏิเสธได้ว่ายังมีความไม่ถูกต้องชอบธรรมอีกมากมายที่รอศิษยานุศิษย์ของผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองพ.ศ.2475 ที่มีคำประกาศว่า “ฉันรักอาศรมของฉัน เพราะอาศรมของฉันสอนให้ฉันรักประชาชน” ออกมาระดมแรงกายแรงใจช่วยกันสงเคราะห์ชาวสยามที่มีฐานะระดับล่างทางเศรษฐกิจให้พ้นจากการถูกเอารัดเอาเปรียบทางสังคมและเศรษฐกิจตามรอยการแผ้วของพระองค์ท่าน
แต่ 80 ปีผ่านไปแล้ว คนรุ่นหลังของคณะบุคคลที่มีผ้าเช็ดหน้าสีน้ำเงินเป็นคุยรหัสก็ยังเบียดแทรกอยู่ในระบบราชการโดยมิได้ยึดมั่นกับคำประกาศยิ่งใหญ่ข้างต้นนั้นอยู่เลยแม้แต่น้อย
วัฒนธรรมสยามที่ล้าหลังฉุดถ่วงสังคมไทยเลิกได้ก็เลิกเถอะครับ แต่สิ่งใดที่มีคุณต่อความสุขสันติร่มเย็นของประเทศสยาม สิ่งใดทนได้ก็ทน พยายามแก้ไขกันต่อไป ขอเพียงแต่อย่าได้มองความเป็นไปในสังคมวัฒนธรรมไทยด้วยสายชี้นำบิดเบือนอีกต่อไป 
หยุดมอมเมาสังคมด้วยตำรับแผนตะวันตกแบบไร้สาระเสียที หันกลับมาช่วยกันสร้างคนดีบนพื้นฐานวัฒนธรรมไทยดีกว่า..... 
เขาสอนกันมาดีแล้ว ...อย่าให้ครูอนุบาลของลูกหลานเยาวชนเราเสียใจเลยครับ 
ผมกราบละครับฤาษี !

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น