tag:blogger.com,1999:blog-73194207384503940792024-03-05T06:17:36.241-08:00BidyaLeaks, บิเดียลีกส์บิเดียลีกส์: หลักฐาน ความชอบธรรม เสรีภาพและข้อคิดเห็นทางประวัติศาสตร์ โบราณคดี การเมือง สังคมและวัฒนธรรมเพื่อมาตุภูมิสยาม
Bidyaleaks: Evidencess, righteousness, freedom and archaeological, historical, political, social and cultural critics for Siam, the motherland.พิทยะ ศรีวัฒนสาร Bidya Sriwattanasarnhttp://www.blogger.com/profile/10428259282087504977noreply@blogger.comBlogger6125tag:blogger.com,1999:blog-7319420738450394079.post-53068240282387488152012-06-06T22:03:00.001-07:002012-06-06T22:28:42.213-07:00ผมกราบละครับฤาษี !<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 10pt; text-align: justify;">
<b><span style="line-height: 115%;"><span style="font-family: Calibri;">โดย พิทยะ ศรีวัฒนสาร</span></span></b></div>
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 10pt; text-align: justify; text-indent: 36pt;">
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhLAJK1O9OozbjAfGDGb_7HCywVpM8lsERhQGyLOEWYoqpYpxgMzbBQGe0O_LcYMqlj8P5Z8uVfA_m5cTD5vz9rGaxmiPnozOA059jckh0GcV55YWC_0sHaJxRJaAGfgipEx7nn-kgWqFGy/s1600/%E0%B8%A4%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B5%E0%B9%82%E0%B8%88%E0%B9%8A%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%9E%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B9%82%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%99.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="266" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhLAJK1O9OozbjAfGDGb_7HCywVpM8lsERhQGyLOEWYoqpYpxgMzbBQGe0O_LcYMqlj8P5Z8uVfA_m5cTD5vz9rGaxmiPnozOA059jckh0GcV55YWC_0sHaJxRJaAGfgipEx7nn-kgWqFGy/s320/%E0%B8%A4%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B5%E0%B9%82%E0%B8%88%E0%B9%8A%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%9E%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B9%82%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%99.jpg" width="320" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<i> ขอขอบคุณภาพฤาษีโจ๊จากโอเคเนชั่นเป็นอย่างยิ่ง</i></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<i><br /></i></div>
<span style="font-size: large;"><span lang="TH" style="font-family: 'Cordia New', sans-serif; line-height: 115%;">ทุกสังคมในโลกต่างก็พยายามสร้างเยาวชนให้เป็นคนดี มีวินัย มีเหตุมีผล และมีกิริยาวาจาสุภาพนอบน้อมถ่อมตน คุณสมบัติของผู้ดี(ผู้ประพฤติดี)</span><span lang="TH"><span style="font-family: Calibri;"> </span></span><span lang="TH" style="font-family: 'Cordia New', sans-serif; line-height: 115%;">ถือเป็นสัญลักษณ์แห่งการให้เกียรติ การแสดงอัธยาศัยไมตรีและการแสดงความเคารพตามวัยวุฒิ คุณวุฒิและชาติวุฒิแก่คนในสังคมเดียวกัน การแสดงความ นับถือกันตามฐานันดรภาพของบุคคล ได้ร้อยรัดให้สังคมสยามอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสันติมานาน </span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 10pt; text-align: justify; text-indent: 36pt;">
<span style="font-size: large;"><span lang="TH" style="font-family: 'Cordia New', sans-serif; line-height: 115%;">รากฐานการนอบน้อมถ่อมตนส่วนหนึ่งมีจุดกำเนิดมาจากความผูกพันคุ้นเคยกับระบบการปกครองของคณะสงฆ์ ซึ่งเป็นครูที่สองรองจากบุรพการี สังคมพุทธมีพระวินัยบัญญัติไว้อย่างเคร่งครัดว่า แม้ผู้บวชก่อนจะอ่อนวัยกว่า ผู้บวชหลังก็ต้องให้การคารวะถือเป็นเยี่ยงพระพี่เลี้ยง หรือ พระอาจารย์ของตน</span><span lang="TH"><span style="font-family: Calibri;"> </span></span><span lang="TH" style="font-family: 'Cordia New', sans-serif; line-height: 115%;">พระบรมวงศานุวงศ์ก็ยังต้องหมอบกราบพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาอย่างมิได้ยกเว้น </span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 10pt; text-align: justify; text-indent: 36pt;">
<span lang="TH" style="font-family: 'Cordia New', sans-serif; font-size: large; line-height: 115%;">ผู้เฒ่าผู้แก่จึงต้องอบรมบ่มสอนเยาวชนเช่นนี้ตั้งแต่เด็กมานานนับร้อยนับพันปี เพราะเห็นแก่ความสงบสุขของบ้านเมือง</span></div>
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 10pt; text-align: justify; text-indent: 36pt;">
<span lang="TH" style="font-family: 'Cordia New', sans-serif; font-size: large; line-height: 115%;">สังคมสยามขณะนี้ถูกฤาษีที่สยบยอบหมอบราบคาบแก้วต่ออิทธิพลของแนวคิดของชาติตะวันตกมาไม่น้อยกว่า 80-100 ปี กำลังวางยาตำรับ “เสรีภาพ” ทีละน้อยๆ เหมือนน้ำหยดลงหิน เพื่อให้สังคมเร่าร้อนด้วยการชี้นำว่า การหมอบกราบแสดงความเคารพต่อผู้ใหญ่ที่ตนนับถือตามสถานภาพในสังคม หรือ ในครอบครัวเป็นการแสดงออกของความเป็นทาสทั้งๆ ที่การเป็นไพร่ทาสถูกยกเลิกไปตั้งแต่ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว</span></div>
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 10pt; text-align: justify; text-indent: 36pt;">
<span lang="TH" style="font-family: 'Cordia New', sans-serif; font-size: large; line-height: 115%;">ในเมื่อสังคมสยามถูกร้อยรัดด้วยวัฒนธรรมของชาวพุทธเช่นนี้ หากจะให้ชาวสยามเลิกหมอบกราบบุรพการี หรือ บุคคลอันควรกราบไหว้ตามคำสอนทางพระพุทธศาสนา ฤาษี มหาฤาษีก็คงจะต้องรื้อสร้างวัฒนธรรมสยามกันแบบแบบถอนรากถอนโคนให้หมด โดยเริ่มตั้งแต่สถาบันพระพุทธศาสนา หรือ .....ฯลฯ ลงไป เพื่อที่จะปลูกฝังความคิดเรื่อง เสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ กันใหม่อีกครั้ง หลังจากที่ได้พยายามไปแล้วแบบครึ่งๆ กลางๆ เมื่อร่วมหนึ่งศตวรรษที่ผ่านมา</span></div>
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 10pt; text-align: justify; text-indent: 36pt;">
<span style="font-size: large;"><span lang="TH" style="font-family: 'Cordia New', sans-serif; line-height: 115%;">อะไรจะเกิดขึ้น หากพลเมืองสยามจำนวนหนึ่ง “อัพยา” เสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพจากฤาษีเข้าไปด้วยใจบริสุทธิ์ จนพลอยแลเห็นวัฒนธรรมอันดีงามของสังคมกลายเป็นความล้าหลังน่าอับอาย “หมอบกราบอย่างนี้ ขายขี้หน้าชิบเป๋ง</span><span style="font-family: Calibri;">!</span><span lang="TH" style="font-family: 'Cordia New', sans-serif; line-height: 115%;">” จนลุกไหลเลียลามไปกระทบคุณค่าทางวัฒนธรรมอื่นๆ อย่างมีนัยสำคัญ </span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 10pt; text-align: justify; text-indent: 36pt;">
<span lang="TH" style="font-family: 'Cordia New', sans-serif; font-size: large; line-height: 115%;">สังคมวัฒนธรรมสยามก็จะอ่อนแอและถูกทำลายลงไปเช่นเดียวกับสังคมอื่นๆ บางประเทศในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือด้วยยาขนานแรงข้างต้น</span></div>
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 10pt; text-align: justify; text-indent: 36pt;">
<span lang="TH" style="font-family: 'Cordia New', sans-serif; font-size: large; line-height: 115%;">ความเสี่ยงทั้งหลายอาจจะเกิดขึ้นตามมาเป็นระลอกๆ เมื่อลูกๆ หรือ สมาชิกของสังคมมองความคลั่งไคล้ “เสรีภาพ” อย่างชื่นชม บางโอกาสลูกสะใภ้สุดรักอาจยืนค้ำหัวพ่อสามีขณะที่ชี้หน้าด่าแม่ย่าผู้ของตนแบบลืมตัว ขณะที่นักเรียนบางสถาบันต่อต้านระเบียบโรงเรียน และไม่ใกล้ไม่ไกลนั้นเองก็มีนักศึกษาจำนวนหนึ่งมุ่งถลกหนังฤาษีที่ไปขัดขวางการสอบบุหรี่บนอาคารเรียน </span></div>
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 10pt; text-align: justify; text-indent: 36pt;">
<i><span style="font-size: large;"><span lang="TH" style="font-family: 'Cordia New', sans-serif; line-height: 115%;">โน่นแน่ะ..</span><span style="font-family: Calibri;">! </span><span lang="TH" style="font-family: 'Cordia New', sans-serif; line-height: 115%;">อาจารย์หนูทำหน้าเบื่อหน่ายเพราะศิษย์ขาจรผายลมใส่หน้าขณะลงยันต์อาคมแบบไม่เกรงใจ</span></span></i></div>
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 10pt; text-align: justify; text-indent: 36pt;">
<span lang="TH" style="font-family: 'Cordia New', sans-serif; font-size: large; line-height: 115%;"><i>โอ๊ะ...บระเจ้าไม๊....พลทหารตาเขียวใส่ครูฝึกที่สั่งลงโทษอย่างไม่สบอารมณ์</i></span></div>
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 10pt; text-align: justify; text-indent: 36pt;">
<span lang="TH" style="font-family: 'Cordia New', sans-serif; font-size: large; line-height: 115%;"><i>อ๊ะจ๊ะๆ..... นายตำรวจชั้นประทวนไขว่ห้างต่อหน้ารองสารวัตรที่เพิ่งเรียนจบจากโรงเรียนนายร้อย</i></span></div>
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 10pt; text-align: justify; text-indent: 36pt;">
<span style="font-size: large;"><span lang="TH" style="font-family: 'Cordia New', sans-serif; line-height: 115%;">พนักงานบริษัทต่อต้านวัฒนธรรมการทำงานในองค์กรของนายจ้าง พนักต้อนรับของโรงแรมโอเรียล(......)เขย่ามือทักทายตบไหล่ผู้เข้าพักระดับวีไอพี บุคลากรวินจักรยานยนต์รับจ้างหย่อนอัธยาศัยต่อลูกค้า วัยรุ่นเดินผ่านขาใหญ่ในซอยด้วยท่าทางอ่าองค์โสภีเพราะผ่านการปลูกฝังมาจากครอบครัวเรื่องสิทธิและเสรีภาพในสังคม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร.......</span><span style="font-family: Calibri;">?!</span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 10pt; text-align: justify; text-indent: 36pt;">
<span style="font-size: large;"><span lang="TH" style="font-family: 'Cordia New', sans-serif; line-height: 115%;">ฤาษีน่าจะแลเห็นนะครับว่า.....มันจะยุ่งยากยาวนานขนาดไหน</span><span style="font-family: Calibri;"><span lang="TH"> </span>! </span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 10pt; text-align: justify; text-indent: 36pt;">
<span lang="TH" style="font-family: 'Cordia New', sans-serif; font-size: large; line-height: 115%;">แว่นของฤาษีกี่ตนๆ ก็มองไม่ออกเจียวดอกหรือว่า การหมอบกราบเป็นมารยาทสังคม เป็นความจริงใจที่จะต้องผ่านการฝึกฝนอบรมจากครอบครัวมาเป็นอย่างดี มิใช่เรื่องเสแสร้งที่จะไปทำกับใครๆก็ได้ </span></div>
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 10pt; text-align: justify; text-indent: 36pt;">
<span lang="TH" style="font-family: 'Cordia New', sans-serif; font-size: large; line-height: 115%;">ความเสมอภาคและภราดรภาพในระบอบประชาธิปไตยทั่วเกิดขึ้นได้ในคูหาเลือกตั้งเท่านั้น สื่อวิทยุและโทรทัศน์ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาเมื่อ 3 ก.ค. 2554 รายงานให้เห็นภาพของอดีตผู้นำคมช. ยืนบังเหลี่ยมหญิงแม่ค้ารอเข้าคูหาเลือกตั้งอย่างกระวนกระวายใจ เป็นภาพน่าประทับใจที่ชาวสยามจะไม่มีทางได้เห็นหากไม่ใช่หน้าคูหาในวันลงคะแนนเสียงเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร </span></div>
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 10pt; text-align: justify; text-indent: 36pt;">
<span lang="TH" style="font-family: 'Cordia New', sans-serif; font-size: large; line-height: 115%;">สิทธิทางกฎหมายและความเท่าเทียมกันอื่นๆ ทางสังคมก็มีให้เห็นหลากหลาย ขณะที่มิอาจปฏิเสธได้ว่ายังมีความไม่ถูกต้องชอบธรรมอีกมากมายที่รอศิษยานุศิษย์ของผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองพ.ศ.2475 ที่มีคำประกาศว่า “ฉันรักอาศรมของฉัน เพราะอาศรมของฉันสอนให้ฉันรักประชาชน” ออกมาระดมแรงกายแรงใจช่วยกันสงเคราะห์ชาวสยามที่มีฐานะระดับล่างทางเศรษฐกิจให้พ้นจากการถูกเอารัดเอาเปรียบทางสังคมและเศรษฐกิจตามรอยการแผ้วของพระองค์ท่าน</span></div>
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 10pt; text-align: justify; text-indent: 36pt;">
<span style="font-size: large;"><b><span lang="TH" style="font-family: 'Cordia New', sans-serif; line-height: 115%;">แต่ 80 ปีผ่านไปแล้ว คนรุ่นหลังของคณะบุคคลที่มีผ้าเช็ดหน้าสีน้ำเงินเป็นคุยรหัสก็ยังเบียดแทรกอยู่ในระบบราชการโดยมิได้ยึดมั่นกับคำประกาศยิ่งใหญ่ข้างต้นนั้นอยู่เลยแม้แต่น้อย</span></b><b><span style="line-height: 115%;"></span></b></span></div>
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 10pt; text-align: justify; text-indent: 36pt;">
<span style="font-size: large;"><b><span lang="TH" style="font-family: 'Cordia New', sans-serif; line-height: 115%;">วัฒนธรรมสยามที่ล้าหลังฉุดถ่วงสังคมไทยเลิกได้ก็เลิกเถอะครับ แต่สิ่งใดที่มีคุณต่อความสุขสันติร่มเย็นของประเทศสยาม สิ่งใดทนได้ก็ทน พยายามแก้ไขกันต่อไป ขอเพียงแต่อย่าได้มองความเป็นไปในสังคมวัฒนธรรมไทยด้วยสายชี้นำบิดเบือนอีกต่อไป</span></b><b><span style="line-height: 115%;"><span style="font-family: Calibri;"> </span></span></b></span></div>
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 10pt; text-align: justify; text-indent: 36pt;">
<b><span lang="TH" style="font-family: 'Cordia New', sans-serif; font-size: large; line-height: 115%;">หยุดมอมเมาสังคมด้วยตำรับแผนตะวันตกแบบไร้สาระเสียที หันกลับมาช่วยกันสร้างคนดีบนพื้นฐานวัฒนธรรมไทยดีกว่า..... </span></b><br />
<span style="font-size: large;"><b style="text-indent: 36pt;"><span lang="TH" style="font-family: 'Cordia New', sans-serif; line-height: 24px;">เขาสอนกันมาดีแล้ว ...</span></b><b><span lang="TH" style="font-family: 'Cordia New', sans-serif; line-height: 115%;">อย่าให้ครูอนุบาลของลูกหลานเยาวชนเราเสียใจเลยครับ </span></b></span></div>
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 10pt; text-align: justify; text-indent: 36pt;">
<span style="font-size: large;"><b><span lang="TH" style="font-family: 'Cordia New', sans-serif; line-height: 115%;">ผมกราบละครับฤาษี </span></b><b><span style="line-height: 115%;"><span style="font-family: Calibri;">!</span></span></b></span></div>พิทยะ ศรีวัฒนสาร Bidya Sriwattanasarnhttp://www.blogger.com/profile/10428259282087504977noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7319420738450394079.post-5406892553330420642012-04-10T22:26:00.003-07:002012-04-10T22:38:43.251-07:00ประวัติศาสตร์อันตราย...? หรือ.... นักประวัติศาสตร์อันตราย !<span style="font-size:130%;">โดย </span><a href="http://www.facebook.com/profile.php?id=100001503294671"><span style="font-size:130%;">Bidya Sriwattanasarn</span></a> เมื่อ 29 มีนาคม 2012 เวลา 16:49 น. ·<br /><br /><div align="justify"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiELnIFl_nYvEVgGDrX94K-2rTb3QSnQsWNDiAEaVWiDH5X6eall2jbSvixvqh8hjloN4tiycuwIjB8uiWbVS1MTM5FtY_gJL9Ai8Ei_qu_U1ldQNXpOwn4VDF2nwXsa4eJTJ8Rls6M5GWp/s1600/%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%2588%25E0%25B8%2595%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%25B2+%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2584+%25E0%25B8%25A8%25E0%25B8%25B9%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%25A2%25E0%25B9%258C%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%25B8%25E0%25B8%25A9%25E0%25B8%25A2%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25A2%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%2598%25E0%25B8%25A3+28+%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%25B5%25E0%25B8%258455.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5730011454453521250" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 240px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiELnIFl_nYvEVgGDrX94K-2rTb3QSnQsWNDiAEaVWiDH5X6eall2jbSvixvqh8hjloN4tiycuwIjB8uiWbVS1MTM5FtY_gJL9Ai8Ei_qu_U1ldQNXpOwn4VDF2nwXsa4eJTJ8Rls6M5GWp/s320/%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%2588%25E0%25B8%2595%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%25B2+%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2584+%25E0%25B8%25A8%25E0%25B8%25B9%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%25A2%25E0%25B9%258C%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%25B8%25E0%25B8%25A9%25E0%25B8%25A2%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25A2%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%2598%25E0%25B8%25A3+28+%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%25B5%25E0%25B8%258455.jpg" border="0" /></a><br /><em>ปาฐกถาของศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร. เจตนา นาควัชระ เรื่อง "เพราะรักจึงสมัครเข้าร่วม: อาเซียนฉบับสามัญชน" ตอนหนึ่งชี้ให้เห็นถึงการแพร่กระจายของเครื่องถ้วยสังคโลก "คุณภาพส่งออก" ไปยังอินโดนีเซียโดยถูกนำไปใช้ในพิธีกรรมเกี่ยวกับความตาย ทำให้ช่วยรักษาสภาพของวัตถุไว้ได้เป็นอย่างดี</em><br /><br />เมื่อ 28 มีค. 55 ผู้เขียนไปเข้าร่วมการสัมมนาวิชาการเรื่อง “อาเซียน ประชาคมในมิติวัฒนธรรม ความขัดแย้งและความหวัง” ระหว่าง 28-30 มีนาคม 2555 ที่ศูนย์มานุษยวิทยา สิรินธร ตลิ่งชัน กรุงเทพฯ โดยใช้สถานภาพBloggerของเว็บบล็อกสยาม-โปรตุเกสศึกษา(http://siamportuguesestudy.blogspot.com)เป็นใบเบิกทาง เป็นใบเบิกทาง เนื่องจากได้พยายามเดินเรื่องตามกระบวนการภายใต้อำนาจของฝ่ายบริหาร เพื่อเบิกค่าสัมมนา(1,000 บาท)แล้ว แต่ปรากฏว่า ปีนี้ไม่เหลืองบประมาณส่งเสริมและพัฒนาบุคลากรด้านนี้เลย ดังนั้น จึงได้ติดต่อฝ่ายจัดงานเพื่อของลงทะเบียนในฐานะสื่อมวลชน<br /><br />ผู้เขียนสนใจการสัมมนาวิชาการครั้ง เพราะจะมีนักวิชาการผู้มีชื่อเสียงจากต่างประเทศเดินทางมาบรรยายเรื่อง ประวัติศาสตร์อันตราย อันเป็นส่วนหนึ่งของการอธิบายวิกฤตด้านวัฒนธรรมการเมืองในสังคมไทยด้วยมุมมองแบบมาร์กซิสม์ โดยก่อนหน้านี้ นักวิชาการผู้นี้เคยกล่าวหาสังคมไทยเป็น "สังคมตอแหล" อย่างปราศจากความเข้าใจรากเหง้าทางวัฒนธรรม ซึ่งนับเป็นอันตรายเป็นอย่างยิ่ง ต่อความมั่นคงของสถาบันหลักของชาติ </div><br /><div align="justify"></div><br /><div align="justify">การที่ยังไม่แลเห็นว่ามีนักวิชาการคนใดตอบโต้คำวิจารณ์ดังกล่าว ในฐานะพลเมืองไทย ผู้เขียนได้พยายามติดตาม ศึกษาและค้นคว้าเอกสารประวัติศาสตร์ เพื่อใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงและตอบโต้การเผยแพร่แนวคิดดังกล่าวมาระยะหนึ่งแล้ว การเข้าร่วมการสัมมนาวิชาการนี้ก็หวังที่จะแลเห็นประเด็นหักล้างความเห็นข้างต้นให้มากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ดี ในความพยายามที่จะลงทะเบียนเข้าร่วมสัมมนานั้น ในชั้นต้นเจ้าหน้าที่ขอให้ไปลงทะเบียนแบบบุคคลทั่วไป แต่ผู้เขียนปฏิเสธเนื่องจากได้สอบถามข้อมูลมาก่อนล่วงหน้าแล้วว่าจะยืนยันลงทะเบียนในสถานภาพของการเป็น blogger ของเว็บไซต์ <a href="http://siamportuguesestudy.blogspot.com/">http://siamportuguesestudy.blogspot.com</a></div><br /><div align="justify"><br />ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร. เจตนา นาควัชระ เน้นให้เห็นถึงการอยู่ร่วมกันอย่างสันติภายใต้เงื่อนไขของการผสมผสานทางวัฒนธรรมและเคารพซึ่งกันและกัน โดยหลีกเลี่ยงปัจจัยอ่อนไหวที่จะทำให้เกิดความขัดแย้งทางการเมือง และชี้ว่าประวัติศาสตร์ไม่อันตราย ทำให้เบาใจว่า ในประเทศไทยยังมีนักวิชาการกระแสสร้างบ้านแปงเมืองเป็นตัวเป็นตนอยู่ให้เห็นอยู่บ้าง<br /><br />ศาสตราจารย์ ดร. ธงชัย วินิจจะกูล แสดงปาฐกถาเรื่อง "ประวัติศาสตร์อันตราย" โดยบอกว่าประวัติสาสตร์ที่อันตราย คือ ประวัติศาสตร์ที่วางอยู่บนพื้นฐานความเชื่อ ส่วนประวัติศาสตร์ที่วางอยู่บนพื้นฐานของเหตุและผล คือ ประวัติศาสตร์ที่สามารถวิพากษ์วิจารณ์ได้ โดยมียึดหลักของอนารยชน คือ การมีความอดทนอดกลั้น( Tolerance) ต่อความเห็นที่แตกต่างออกไปจากตน ดังนั้น ศาสตราจารย์ธงชัย วินิจจะกูลจึงเห็นว่า ไม่ว่าอดีตจะเป็นอย่างไรก็ต้องเอาหลักฐานออกมากางกันให้เห็นหมดบนโต๊ะ และก็ถกเถียงกันได้อย่างเต็มที่<br /><br />หลังการปาฐกถาของ ผู้เขียนตัดสินใจเดินทางกลับและแจ้งให้เจ้าหน้าที่ลงทะเบียนทราบว่า ตอนบ่ายจะไม่เข้าร่วมสัมมนาและจะส่งLinkของเว็บไซต์กลับไปยังศูนย์มานุษยวิทยาภายหลัง<br /><br /><span style="font-size:130%;">ปาฐกถาของดร.ธงชัยทำให้เกิดคำถามที่ตกค้างอยู่ในใจว่า คนรักกัน ถ้าจะให้ความรักยืนนาน เราจะพูดกันด้วยคำหวานต่อกัน หรือ จะพูดจากันแบบผรุสวาท คนรักจะต้องอดกลั้นต่อกันไหม คนรักต้องถนอมน้ำใจกันไหม ถ้าเพื่อนบ้านหมางใจกัน จะใช้วิธีการอ่อนน้อมเข้าหากันแล้วปรับท่าทีเจรจากันอย่างมิตร หรือ จะใช้วิธีการถกเถียงเพื่อหาผิดหาถูกกัน ซึ่งผลที่ตามมาคือจะทำให้เลิกรากันไป หรือ จะยิ่งทะเลาะกันหนักเข้าไปอีก ฯลฯ </span><br /><br />ตอนเย็น ผู้เขียนไปจับจ่ายสินค้าในตลาดเทสโก โลตัส สาขาลาดพร้าว ระหว่างเข้าคิวรอจ่ายเงิน ก็ได้รับอภินันทนาการบัตรส่วนลดใบละ 60 บาท จำนวน 2 ใบ ซึ่งตัดมาจากหนังสือพิมพ์รายวันจากลูกค้าสุภาพสตรีที่รอจ่ายค่าสินค้าอยู่ข้างหน้ามาแบบงงๆ แต่ก็ไม่ลืมขอบคุณเบาๆ<br /><br />เงื่อนไขของบัตรสมนาคุณ คือ ต้องซื้อสินค้าขั้นต่ำ 600 บาท สำหรับ 1 บิล ต่อบัตรสมนาคุณ 1 ใบ ทั้งสองท่านนั้นคงซื้อสินค้าไม่ถึง 1,200 บาท จึงไม่สามารถใช้บัตรสมนาคุณได้ครบคนละ 2 ใบ<br /><br />ท่ามกลางช่วงเวลาที่สมาชิกสภาผู้ทรงเกียรติกำลังเล่นบทบาทช่วงชิงการกล่าวหาและไขว่คว้าการได้เปรียบทางการเมือง โดยหาช่องทางที่จะสร้างข่าวในสื่อมวลชนให้ครึกโครมให้มากที่สุด บางฉีกรายงานของกรรมาธิการปรองดอง บางกลุ่มวอล์คเอ๊าท์จากห้องประชุม ฯลฯ<br /><br /><span style="font-size:130%;">ในสังคมน้อยๆ ย่อย ๆ อีกหลายอณูของกรุงเทพฯ ก็อาจจะยังมีวัฒนธรรมแห่งความเอื้ออารีต่อกันและกันตามแต่โอกาสจะอำนวยหลงเหลือให้เห็นได้เสมอ</span></div>พิทยะ ศรีวัฒนสาร Bidya Sriwattanasarnhttp://www.blogger.com/profile/10428259282087504977noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7319420738450394079.post-64529101058126304862012-03-24T01:50:00.001-07:002012-03-24T01:55:52.139-07:00Das Parte du Sião… หลักฐานเกี่ยวกับสยาม<div align="justify"><span style="font-size:130%;">โดย พิทยะ ศรีวัฒนสาร</span></div><br /><div align="justify">เมื่อวันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555 ผู้เขียนได้รับอภินันทนาการพัสดุไปรษณีย์ ชื่อ “Das Parte du Sião(หลักฐานเกี่ยวกับสยาม) ” ผู้จัดส่งให้ คือ ดร. มิเกล คัสเตลลู บรังกู (Migel Castelo Branco) นักประวัติศาสตร์และบรรณารักษ์อาวุโส หอสมุดแห่งชาติโปรตุเกส ดุษฎีบัณฑิตสาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจากสถาบันชั้นสูงด้านสังคมศาสตร์และรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยวิทยาการแห่งลิสบัว (Instituto Superior de Ciências Sociais e Políticas da Universidade Técnica de Lisboa) ด้วยผลงานวิทยานิพนธ์เรื่อง “ ความสัมพันธ์ระหว่างโปรตุเกสกับสยามในสมัยรัตนโกสินทร์ พ.ศ.2525-2482) จึงขอแสดงความขอขอบคุณเป็นอย่างยิ่งมา ณ ที่นี้</div><br /><div align="justify"></div><br /><div align="justify">“Das Parte du Sião”เป็นหนังสือประกอบการจัดนิทรรศการที่ระลึกความสัมพันธ์ 500 ปีระหว่างชาวลูโซ (โปรตุเกส) กับชาวไทย พ.ศ.2054-2554 หนา 118 หน้า บวกกับภาพประกอบพิเศษอีก 10 หน้า (ไม่ระบุเลขหน้า) รวมเป็น 128หน้า ภายในประกอบด้วยเนื้อหาสังเขปดังนี้</div><br /><div align="justify"></div><br /><div align="justify">- 500 ปี แห่งความสัมพันธ์ระหว่างชาวลูโซกับชาวสยาม โดย ศาสตราจารย์ อันตอนิอู วาชกงเซลูช ดึ ซาดันญา(António Vasconcelos de Sadanha) มหาวิทยาลัยวิทยาการแห่งลิสบัว เป็นบทความสั้นๆ ยาว 3 หน้า กล่าวถึงความเป็นมาของการจัดนิทรรศการ</div><br /><div align="justify">-ยุคทองของชาวโปรตุเกสในสยาม(A Época de Ouro dos Protukét do Sião) โดย ดร. มิเกล คัสเตลลู บรังกู (Migel Castelo Branco) เป็นบทความมาตรฐานยาว 20 หน้า</div><br /><div align="justify">-รายการเอกสารโบราณที่เกี่ยวข้องกับสยาม(Catálogo) ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่16-20 โดยระบุรายการอ้างอิง คำย่อที่ใช้ในหนังสือและแหล่งค้นคว้าเอกสารโบราณ รวมถึงหนังสือประวัติศาสตร์นิพนธ์และบทความวิชาการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่16, 20 และ21</div><br /><div align="justify"></div><br /><div align="justify">ในส่วนบทความของดร. มิเกล คาสเตลลู บรังกู เรื่อง ยุคทองของชาวโปรตุเกสในสยามนั้น ดร.บรังกู คงต้องการจะเรียกคนไทยเชื้อสายโปรตุเกสว่า “ชาวโปรตุเกต” (Protuget) ตามแบบอย่างคำไทยที่เรียกชาวโปรตุเกสโดยไม่การออกเสียงเน้น(accent)ตัวสะกด ส.เสือ อันเป็นลักษณะของการออกเสียงแบบไทย แต่เมื่อคำดังกล่าวถูกถ่ายกลับไปเป็นภาษาโปรตุเกส คือ “Protukét” เมื่ออ่านแล้วกลับต้องออกเสียงเป็น “โปรตุแคต” ไม่ใช่ “โปรตุเกต(Protuket” ตามเสียงในภาษาไทย</div><br /><div align="justify"></div><br /><div align="justify">ผู้เขียนเคยเสนอในงานสัมมนาวิชาการ เรื่อง “ 500 ปี ความสัมพันธ์สยามประเทศกับโปรตุเกสและชาติตะวันตกในอุษาคเนย์ 2054-2554(25มกราคม 2555) ” จัดโดยโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย บริษัทโตโยต้ามอเตอร์ประเทศไทย จำกัด มหาวิทยาลัยราชภัฎพระนครศรีอยุธยาและหน่วยงานต่างๆ ณ หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยราชภัฎพระนครศรีอยุธยาว่า คนไทยเชื้อสายโปรตุเกสมีความภาคภูมิใจในความเป็นคนเชื้อสายโปรตุเกสมาอย่างเหนียวแน่นและยาวนาน </div><br /><div align="justify"></div><br /><div align="justify">คุณศานติ สุวรรณศรี เล่าให้ฟังถึงคำสอนของมารดาเมื่อครั้งยังเด็กอันชวนให้ตื้นตันใจว่า “ลูกต้องจำไว้ว่าเรามันพวกโปรตุเกสนะลูก”การที่นักประวัติศาสตร์โปรตุเกสบันทึกคำเรียกคนไทยเชื้อสายโปรตุเกส ว่า “ชาวโปรตุเกต หรือ โปรตุแกต” อาจถือเป็นการแบ่งแยกพวกเขาออกจากความเป็น “โปรตุเกส” แบบขาดการเข้าถึงจิตใจของกลุ่มชนที่เคยร่วมวัฒนธรรมโปรตุเกสด้วยกันมาก่อน แม้ในปัจจุบันความเป็น“โปรตุเกส”ทางด้านกายภาพ ความเป็นอยู่ ภาษาและวัฒนธรรมของคนไทยเชื้อสายโปรตุเกสจะเจือจางลงไปมากแล้ว แต่สิ่งสำคัญที่เชื่อมโยงความเป็นโปรตุเกสของพวกเขาไว้อย่างเหนียวแน่นและมั่นคง คือ ความเป็นชาวคริสตัง</div>พิทยะ ศรีวัฒนสาร Bidya Sriwattanasarnhttp://www.blogger.com/profile/10428259282087504977noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7319420738450394079.post-7049220340192574572012-03-23T21:08:00.003-07:002012-03-23T21:16:37.885-07:00กรณีพิพาทกับฝรั่งเศส (เหตุการณ์ร.ศ.112): การพลีชีพในอีสานเพื่อรักษาเขตแดนสยาม<div align="justify"><span style="font-size:130%;">โดย</span></div><br /><div align="justify"><span style="font-size:130%;">พิทยะ ศรีวัฒนสาร</span></div><br /><div align="justify"><br />ผู้เขียนไม่เห็นด้วยที่มหาฤาษีตนหนึ่งจากมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน-เมดิสันร่ายมนตราไว้ว่า รัฐสมัยเก่าไม่ถือการครอบครองดินแดนเป็นเรื่องสำคัญ อย่างน้อยกรณีพิพาทสยาม-อินโดจีนฝรั่งเศส (เหตุการณ์ร.ศ.112) ซึ่งปรากฏเรื่องราวอยู่ในเอกสารจำนวนมาก ก็สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของทางการสยามในการปกป้องพระราชอาณาเขตอย่างเต็มกำลังสามารถ </div><br /><div align="justify"></div><br /><div align="justify">มูลเหตุของความขัดแย้งในเหตุการณ์ร.ศ.112 เบื้องต้นมาจากความพยายามขยายอิทธิพลของจักรวรรดินิยมฝรั่งเศสต่อเนื่องมาทางตะวันตกเข้าสู่ตะวันออกเฉียงเหนือของสยาม <a title="" style="mso-footnote-id: ftn1" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7319420738450394079#_ftn1" name="_ftnref1">[1]</a> พงษาวดารหัวเมืองมณฑลอิสาณ ผลงานการเรียบเรียงของหม่อมอมรวงษ์วิจิตร (ม.ร.ว.ปฐม คเนจร) สะท้อนให้เห็นความเสียสละของข้าราชการไทยทั้งฝ่ายหัวเมือง ข้าราชการส่วนกลางและเจ้าพนักงานแผนที่ซึ่งปฏิบัติหน้าที่อยู่ ณ ชายแดน เพื่อปกป้องเขตขัณฑสีมาขณะนั้นอย่างเต็มความสามารถ</div><br /><div align="justify"><br />กรณีพิพาทสยาม-อินโดจีนฝรั่งเศส (เหตุการณ์ร.ศ.112) ปรากฏเรื่องราวอยู่ในเอกสารจำนวนมาก มูลเหตุของความขัดแย้งมาจากความพยายามขยายอิทธิพลของจักรวรรดินิยมฝรั่งเศสต่อเนื่องมาทางตะวันตกเข้าสู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของสยาม <a title="" style="mso-footnote-id: ftn2" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7319420738450394079#_ftn2" name="_ftnref2">[2]</a> พงษาวดารหัวเมืองมณฑลอิสาณ ผลงานการเรียบเรียงของหม่อมอมรวงษ์วิจิตร (ม.ร.ว.ปฐม คเนจร) สะท้อนให้เห็นสำนึกความหวงแหนอธิปไตยของมาตุภูมิและความเสียสละของข้าราชการไทยทั้งฝ่ายหัวเมือง ข้าราชการส่วนกลางและเจ้าพนักงานแผนที่ซึ่งปฏิบัติหน้าที่อยู่ ณ ชายแดนขณะนั้น </div><br /><div align="justify"><br />สาเหตุเริ่มต้นเมื่อวันที่31มีนาคม พ.ศ.2436 “รัฐบาลฝรั่งเศสแต่งให้เรสิดองปัสตาเปนแม่ทัพ พร้อมด้วยนายร้อยเอกโทเรอ แลนายร้อยตรีโมโซ แลมองซิเออปรุโช คุมทหารญวนเมืองไซ่ง่อน200 คน แลกำลังเมืองเขมรพนมเปน ๆ อันมากลงเรือ 33 ลำ พร้อมด้วยสาตราวุธยกเปนกระบวนทัพขึ้นมาตามลำน้ำโขง เข้ามาในพระราชอาณาเขตร ขับไล่ทหารซึ่งรักษาด่านบงขลาแขวงเมืองเชียงแตง แลด่านเสียมโบก ยึดเอาด่านทั้ง 2 ตำบลได้แล้ว</div><br /><div align="justify"><br />วันที่ 2 เมษายน ร.ศ. 112 ฝรั่งเศสก็เคลื่อนทัพถึงเมืองเชียงแตง บังคับหลวงพิพิธสุนทร (อิน) และนายร้อยโทคร้ามข้าหลวงกับทหาร 12 คน ซึ่งอยู่รักษาเมืองเชียงแตงให้ข้ามไปอยู่ ณ เมืองธาราบริวัตรฝั่งโขงตะวันตก โดยอ้างเหตุว่า ดินแดนในฝั่งโขงตะวันออกและเกาะดอนในลำน้ำโขงเป็นเขตแขวงของญวนซึ่งอยู่ใน “บำรุงฝรั่งเศส”</div><br /><div align="justify"><br />เวลานั้น ข้าหลวง ผู้รักษาเมือง กรมการ และราษฎรเมืองเชียงแตงไม่ทันรู้ตัว“ก็พากันแตกตื่นควบคุมกันมิติด” เพราะไม่คิดว่าฝรั่งเศส“จะเปนอมิตรขึ้น” ดังนั้นก่อนที่จะประกาศแสดงขาดทางพระราชไมตรีฝ่ายข้าหลวงกับพลทหาร 12 คนจำต้องออกจากเมืองเชียงแตง ข้ามมาอยู่ ณ เมืองธาราบริวัตร ครั้นฝรั่งเศสได้เมืองเชียงแตงแล้ว ก็แต่งนายทัพนายกองคุมทหารแยกย้ายกันยกเป็นกระบวนทัพล่วงเข้ามาตั้งอยู่ตาม เกาะดอนต่าง ๆ ณ แก่งลีผี และเดินกระบวนทัพ เข้ามาโดยทางบก ตลอดฝั่งโขงตะวันออกจนถึงเมืองหลวงพระบาง</div><br /><div align="justify"><br />พระประชาคดีกิจ (แช่ม) ข้าหลวงส่วนหน้าหัวเมืองลาวฝ่ายใต้ ณ เมืองสีทันดร เห็นว่าฝรั่งเศสประพฤติผิดสัญญาทางพระราชไมตรี จึงให้ข้าราชการฝ่ายทหารและพลเรือนในบังคับบัญชาคุมกำลังแยก ย้ายไปตั้งป้องกันกองทัพฝรั่งเศสไว้ แล้วมีหนังสือไปห้ามปรามกองทัพฝรั่งเศสตามทางพระราชไมตรี เพื่อให้ยกถอนกองทัพกลับออกไปเสียให้พ้นพระราชอาณาเขต </div><br /><div align="justify"><br />แต่ฝรั่งเศสกลับยกกองทหารรุดล่วงเข้ามา โดยทหารกองหนึ่ง มีกำลังอาวุธประมาณ 400 คนเศษ ยกมาทางเรือ 26 ลำ เข้าจอด ณ ดอนละงา แล้วขึ้นบกมาบนดอน ขณะนั้นหลวงเทเพนทรเทพ ซึ่งคุมกำลังยกไปตั้งอยู่ ณ ดอนนั้นจึงได้ออกไปบอกให้ฝรั่งเศสยกกองทัพกลับออกไปจากพระราชอาณาเขตสยาม ฝรั่งเศสกลับอ้างว่าที่ตำบลเหล่านั้นเป็นของฝรั่งเศส ให้หลวงเทเพนทร์ยกกำลังไปเสียถ้าไม่ไปจะรบ แล้วก็เป่าแตรเรียกทหารเข้าแถวเตรียมรบ </div><br /><div align="justify"><br />หลวงเทเพนทร์เห็นว่า ห้ามปรามทหารฝรั่งเศสไม่ฟัง จึงได้ถอยมาตั้งอยู่ ณ ดอนสม และแจ้งข้อราชการยังพระประชาคดีกิจ พระประชาคดีกิจจึ่งได้ “เขียนคำโปรเตศ”<a title="" style="mso-footnote-id: ftn3" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7319420738450394079#_ftn3" name="_ftnref3">[3]</a> ยื่นต่อฝรั่งเศส และลงเรือน้อยไปหาฝรั่งเศส ณ ค่ายดอนสาคร ถามได้ความว่า นายทหารฝรั่งเศสซึ่งเป็นแม่ทัพในกองนี้ ชื่อ เรสิดองโปลิติก และ กอมมันดองมิลิแตร์ </div><br /><div align="justify"><br />พระประชาคดีกิจได้ยืนยันต่อนายทัพฝรั่งเศสว่า ที่ตำบลเหล่านี้เป็นพระราชอาณาเขตรสยาม การยกทัพล่วงเข้ามาเป็นการละเมิดสัญญาทางพระราชไมตรี ขอให้รีบยกทหารกลับออกไปเสีย </div><br /><div align="justify"><br />ฝ่ายนายทัพฝรั่งเศสตอบว่าราชทูตไทยที่ปารีสกับรัฐบาลสยามที่กรุงเทพ ฯ ได้ยอมยกที่ตำบลเหล่านี้ และดินแดนตามลำแม่น้ำโขงทั้งหมดให้แก่ฝรั่งเศสแล้ว </div><br /><div align="justify"><br />พระประชาคดีกิจจึงตอบว่า จะยอมเชื่อตามถ้อยคำของฝรั่งเศสมิได้ เพราะยังไม่ได้รับคำสั่งจากรัฐบาลสยาม ขอให้ฝรั่งเศสยกทหารถอยออกไปเสียให้พ้นพระราชอาณาเขตก่อน แต่ฝรั่งเศสไม่ยอมถอนไป พระประชาคดีกิจ จึ่งยื่นคำ “โปรเตศ” ไว้ต่อนายทัพฝรั่งเศส แล้วลากลับมา </div><br /><div align="justify"><br />ฝ่ายฝรั่งเศสได้ยกทัพล่วงล้ำเข้ามาเป็นอันดับ และยังได้ระดมยิงกองทหารฝ่ายสยามซึ่งไปตั้งป้องกันรักษาขึ้นก่อน ถึงกระนั้น “กองรักษาฝ่ายสยาม” ก็หาได้ยิงโต้ตอบต่อสู้ไม่ โดยถือว่ากรุงฝรั่งเศสกับประเทศสยามยังมิได้ขาดจากสัญญาทางพระราชไมตรีกัน เพราะรัฐบาลสยามยังมิได้มีคำสั่งไปให้ต่อสู้ฝรั่งเศสประการใดไม่ จึงได้แต่เพียงให้ตั้งรักษามั่นอยู่ แลได้พยายามทุกอย่าง ที่จะมิให้มีความบาดหมางต่อทางพระราชไมตรี และทั้งได้มีหนังสือห้ามปรามไปด้วยแล้ว</div><br /><div align="justify"><br />แต่ฝรั่งเศสกลับระดมยิงปืนใหญ่น้อยมายังกองรักษาฝ่ายสยาม “เปนสามารถ” ฝ่ายสยามจึ่งได้ยิงโต้ตอบไปบ้างแต่เล็กน้อยโดยมิได้มีเจตนาที่จะทำลายชีวิตผู้คน เป็นแต่แสดงให้เห็นว่าฝ่ายไทยก็มีปืน แต่ฝ่ายฝรั่งเศสก็ยิ่งหนุนเนื่องรุกรบเข้ามาทุกที จนเจ้าหน้าที่ฝ่ายสยามเห็นว่าเหลือกำลังที่จะห้ามปรามและปฏิบัติจัดการโดยดีกับฝรั่งเศสได้แล้ว จึงจำเป็นต้องจัดกองรบออกระดมยิงต่อสู้บ้าง เพื่อรักษาความเป็นอิสรภาพและป้องกันชีวิตของประชาชนชายหญิงอันอยู่ในความปกครองไว้ “แลทั้งสองฝ่ายต่างก็ต้องอาวุธป่วยตายแลตั้งประชันหน้ากันอยู่”</div><br /><div align="justify"><br /><span style="font-size:130%;">การตอบโต้ของทางการสยาม</span></div><br /><div align="justify"><br />เมื่อพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร ข้าหลวงใหญ่หัวเมืองลาวกาว ซึ่งประทับอยู่ ณ เมืองอุบล ทรงทราบว่าฝรั่งเศส “แสดงเปนอมิตร” ขึ้นดังนั้นแล้ว จึ่งได้โปรดให้เกณฑ์กำลังเมืองศรีสะเกษ เมืองขุขันธ์ เมืองสุรินทร์ เมืองมหาสารคาม เมืองร้อยเอ็ด (เมืองละ 800 คน) เมืองสุวรรณภูมิ เมืองยโสธร (เมืองละ500 คน) และให้เกณฑ์เมืองขุขันธ์อีก500คน ให้พระศรีพิทักษ์ (หว่าง) ข้า หลวงเมืองขุขันธ์คุมไปตั้งรักษาอยู่ ณ เมืองมโนไพร และเมืองเซลำเภา โปรดให้หลวงเทพนรินทร์ (วัน) ซึ่งกลับจากหน้าที่เมืองตะโปนไปเป็นข้าหลวงแทนพระศรีพิทักษ์อยู่เมืองขุขันธ์ และให้นายสุจินดา ขุนอินทรประสาท (กอน) นายร้อยตรีคล้าย นายร้อยตรีโชติ คุมทหาร 100คน และกำลัง 500 คน พร้อมด้วยสาตราวุธ เป็นทัพหน้า รีบยกออกจากเมืองอุบลแต่วันที่ 10 เมษายน ลงไปสมทบช่วยพระประชาคดีกิจ ณ เมืองสีทันดร</div><br /><div align="justify"><br />วันที่ 24 พฤษภาคม พระณรงค์วิชิต (เลื่อน) ได้ให้กำลังไปรักษาค่ายที่ดอนเดชไว้ตามเดิม และแต่งกองซุ่มไปอยู่ดอนตาล ดอนสะดำ คอยตีตัดมิให้ฝรั่งเศสเวียนเดินเรือเข้ามาในช่องได้<br />การใช้บทพระอัยการศึกจัดการกับทหารหนีทัพ</div><br /><div align="justify"><br />เพี้ยศรีมหาเทพ นครจำปาศักดิ พาพล 19 คนหนี อุปฮาด (บัว) เมืองกมลาไศรย ซึ่งตั้งค่ายอยู่ตำบลชลเวียงจับได้ พระประชาคดีกิจได้ปรึกษาโทษให้ประหารชีวิตตามบทพระอัยการศึก ฝ่ายนายทัพนายกองได้ขอชีวิตไว้ พระประชา (แช่ม) จึ่งได้ให้ทำโทษ เฆี่ยนเพี้ยศรีมหาเทพ 90ที พวกพลคนละ 30 ที</div><br /><div align="justify"><br />วันที่ 7สิงหาคม พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร โปรดให้พระยาศรีสิงหเทพ (ทัด) ออกจากอุบล นำข้อราชการไปทูลพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นสรรพสิทธิประสงค์ ณ เมืองนครราชสีมา และโปรดให้หลวงธนะผลพิทักษ์ (ดิศ) และ ขุนชาญรณฤทธิ (ชม) ข้าหลวงนครราชสีมาไปรับราชการมณฑลลาวกาว</div><br /><div align="justify"><br /><span style="font-size:130%;">การทำแผนที่พระราชอาณาเขตชายแดนอีสานใต้และตะวันออก</span></div><br /><div align="justify"><br />วันที่14 สิงหาคม พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร โปรดให้นายเพิ่มพนักงานแผนที่ ไปตรวจทำแผนที่ตั้งแต่เมืองชาณุมานมณฑล ไปโขงเจียง ปากมูล และตามสันเขาบันทัด จนถึงช่องโพยแขวงเมืองขุขันธ์</div><br /><div align="justify"><br />วันที่ 3 กันยายน นายร้อยโทพุ่มได้รับพระราชทานสัญญาบัตร เป็นนายร้อยเอก ขุนโหมหักปัจนึก นายร้อยตรีถมยา เป็นนายร้อยเอกขุนอึกอธึกยุทธกรรม</div><br /><div align="justify"><br />วันที่ 14 ตุลาคม นายร้อยตรีเชิด เป็นลมชิวหาสดมภ์ถึงแก่กรรม<a title="" style="mso-footnote-id: ftn4" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7319420738450394079#_ftn4" name="_ftnref4">[4]</a></div><br /><div align="justify"><br />ครั้นวันที่ 11มิถุนายน เวลาบ่าย 4 โมง ฝรั่งเศสก็ระดม ยิงปืนใหญ่น้อยกระสุนแตกมาที่ค่ายสยาม ณ ดอนเดช 15 ครั้งแล้วก็สงบไป</div><br /><div align="justify"><br />ครั้นเวลาย่ำรุ่งฝรั่งเศสยิงอิกพักหนึ่ง จนโมงเช้าจึ่งหยุด ครั้นเวลาเย็นฝรั่งเศสยิงปืนใหญ่มา 1 นัด แลยิงปืนเล็ก 20 ตับ แล้วก็สงบไป</div><br /><div align="justify"><br />วันที่14มิถุนายนฝรั่งเศสยิงปืนเล็กกราดมาจากดอนคอน 10 ตับ เวลาเที่ยงยิง 6 ตับ เวลาบ่ายยิงปืนใหญ่1นัด ที่ค่ายดอนช้าง 1นัด แล้วต่างก็สงบไป</div><br /><div align="justify"><br />วันที่16 มิถุนายน เวลาเช้าฝรั่งเศสยกกองทหารขึ้นดอนเดช ถึงหัวดอนเดชตรงค่ายไทยที่ดอนหางสม เมื่อปักธงฝรั่งเศสลงแล้ว dHเป่าแตรให้ทหารระดมยิงค่ายหางสม ฝ่ายไทยได้ยิงโต้ตอบอยู่ประมาณชั่วโมงเศษ แล้วกองทหารฝรั่งเศสก็ล่าถอยกลับไป</div><br /><div align="justify"><br />ในค่ำวันที่16มิถุนายน คนตระเวนฝ่ายกองทัพไทยไปพบหนังสือที่ฝรั่งเศสปักไว้ ที่ดอนนางแอ่นจึงนำมาส่งพระประชา ในหนังสือนั้นเซ็นชื่อ กอมมันดันเดลาวิเล แม่ทัพฝรั่งเศส ถึงแม่ทัพไทยความว่า </div><br /><div align="justify"><br />“ดอนสมแลเกาะดอนฝั่งตวันออกเปนของฝรั่งเศส ให้ฝ่ายไทยถอยทัพไปเสีย ถ้าไม่ฟังจะขับไล่ พระประชาจึ่งตอบไปว่า ฝรั่งเศสฝันเห็นเอาเองผิดจากถ้อยคำของคนที่ถือสาสนาคฤส เตียน ถ้าฝรั่งเศสขืนบุกรุกมา ชาวประเทศสยามก็จำต้องต่อสู้มิให้ฝรั่งเศสดูหมิ่นได้” </div><br /><div align="justify"><br />จากนั้นพระประชาได้ให้นายสุกนายสิงปลอมเข้าไปในค่ายฝรั่งเศส กลับมาแจ้งว่าฝรั่งเศสกำลังหามเรือข้ามแก่งสมพมิตรมาแต่ท่าสนาม 17 ลำ และแต่งเรือเตรียมทัพจะยกอ้อมดอนตาลขึ้นทางฝั่งตะวันตกมาตีตัดหลังค่ายดอนสม ขนาบกับทัพบกจึงจะเดินมาทางดอนเดช พระประชาก็ได้จัดให้นายทัพนายกอง แยกย้ายกันออกไปตั้งกองรับกองทัพฝรั่งเศสทุกด้าน<br />……………………………………………………………………………………<br />หลังเหตุการณ์ร.ศ.112 สยามต้องเสียดินแดนจำนวนหนึ่งแก่รัฐบาลอินโดจีนฝรั่งเศส นอกจากหลักฐานประวัติศาสตร์จะบันทึกของความเจ็บปวดที่ผู้ปกครองสยามได้รับแล้ว ราษฎรอาสาสมัครและทหารจำนวนไม่น้อยสักข้อความแสดงให้เห็นถึงความเจ็บปวดจากความสูญเสียดังกล่าวด้วยข้อความว่า “ร.ศ.112” </div><br /><div align="justify"><br />ความรู้สึกผูกพันต่อบูรณาการของเขตแดนและความหวงแหนอธิปไตยในอดีตเป็นอารมณ์ที่เคยเกิดขึ้น แต่ช่างน่าอับอายเหลือเกิน เมื่อเวลาผ่านไปเพียง 100 ปีเศษ กลับมีมหาฤาษีและสานุศิษย์ผูกเรื่องโยงหลักฐาน เสนอนิทานแนวมาร์กซิสม์แล้วบอกต่อลูกหลานของบรรพบุรุษผู้พลีชีพรักษาพระราชอาณาเขตสยามขณะนั้นว่า “สยามไม่เคยเสียดินแดนดังกล่าว เพราะสยามไม่เคยครอบครองดินแดนนั้นๆ มาก่อน” </div><br /><strong><span style="font-size:130%;">การอ้างอิง</span></strong><br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn1" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7319420738450394079#_ftnref1" name="_ftn1">[1]</a> คัดจากฉบับพิมพ์ครั้งแรกใน<a title="ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๔" href="http://th.wikisource.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%8A%E0%B8%B8%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%87%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B8%A3_%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88_%E0%B9%94">ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๔</a> เมื่อปีเถาะ สัปตศก พ.ศ. ๒๔๕๘ อ้างใน http://th.wikisource.org/wik ขอขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง<br /><br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn2" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7319420738450394079#_ftnref2" name="_ftn2">[2]</a> คัดจากฉบับพิมพ์ครั้งแรกใน<a title="ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๔" href="http://th.wikisource.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%8A%E0%B8%B8%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%87%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B8%A3_%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88_%E0%B9%94">ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๔</a> เมื่อปีเถาะ สัปตศก พ.ศ. ๒๔๕๘ อ้างใน http://th.wikisource.org/wik ขอขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง<br /><br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn3" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7319420738450394079#_ftnref3" name="_ftn3">[3]</a> ประท้วง<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn4" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7319420738450394079#_ftnref4" name="_ftn4">[4]</a> ลมชิวหาสดมภ์ ป็นโรคลมที่อยู่ในกลุ่มของลมสุมนา หรือ สุสมนา มีอาการสำคัญ คือ ลิ้นกระด้าง คางแข็ง เซื่องซึม เจรจามิได้ (ขอขอบคุณ http://www.healthbe1st.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=539186963&Ntype=1)พิทยะ ศรีวัฒนสาร Bidya Sriwattanasarnhttp://www.blogger.com/profile/10428259282087504977noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7319420738450394079.post-55361946498144714992012-03-08T23:24:00.002-08:002012-03-08T23:29:13.381-08:00ตู่ ... ( discourse ) ! องค์หนึ่ง: ว่าด้วยทฤษฎี<div align="justify"><br /><span style="font-size:130%;">โดย </span><a href="http://www.facebook.com/profile.php?id=100001503294671"><span style="font-size:130%;">Bidya Sriwattanasarn</span></a><span style="font-size:130%;"> เมื่อ 1 มีนาคม 2012 เวลา 17:27 น. ·</span><br /><a class="uiSelectorButton uiButton uiButtonSuppressed uiButtonNoText" title="Public" href="http://www.facebook.com/#" rel="toggle" hover="tooltip" role="button" length="30" label="" alignh="center" tooltip="Public" haspopup="1"></a><br />ตู่....เป็นทฤษฎีทางสังคมศาสตร์ แปลมาจากคำว่า discourse ของมิเชล ฟูโกลต์ (Michel Foucault) นักคิดฝรั่งเศส แนวคิดเรื่อง "ตู่" นี้นักวิชาการไทยนำมาเผยแพร่ราว พ.ศ. 2524-2525 ในรูปแบบอลังการอย่าง rococo ว่า "วาทกรรม"</div><br /><div align="justify"><br />ทฤษฎี "ตู่" มีพิ้นฐานมาจากพยายามในการเชื่อมโยงเรื่องสำคัญ 3 ประการ เข้าด้วยกัน คือ ความรู้ อำนาจและความจริง กล่าวโดยรวมๆ ได้ว่า "ตู่" เป็นการสร้างความรู้ การผลิตความรู้หรือการนิยามความรู้บางอย่างขึ้นมาเพื่อให้มีอำนาจในการกำหนดความจริง<br /><br />"ตู่" ถูกกล่าวถึงในรูป "วาทกรรม" จากคำอธิบายในวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี ดังนี้<br /><br />"วาทกรรม (discourse) คือ รูปแบบของความคิด หรือ กรอบความคิด เกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ที่มีลักษณะเป็นสถาบันและมีการสืบทอด "ซึ่งแสดงออกผ่านทางการพูดและเขียนอย่างจริงจัง/ประโยคหรือนิยามที่ใช้บ่อยๆ" เพื่อที่จะคงไว้ซึ่งลักษณะของวาทกรรมและการปรับเปลี่ยนลักษณะของวาทกรรมนั้นๆ</div><br /><div align="justify"><br />วาทกรรมแต่ละเรื่องมีระบบความคิด และเหตุผลของตน ในการอธิบายหรือมอง "ความจริง" ซึ่งวาทกรรมเรื่องเดียวกัน แต่ต่างระบบความคิดและเหตุผลก็จะมีความแตกต่างกันออกไป ในการให้อรรถาธิบายต่อเรื่องนั้น ๆ ดังนั้น ในเรื่องเดียวกันจึงมีวาทกรรมหลายชุดที่เกี่ยวข้องและวาทกรรมแต่ละชุดก็มีความขัดแย้ง หรือ ปฏิเสธ "ความจริง" ของวาทกรรมอีกชุดหนึ่งได้ นอกจากนี้แล้ว การเกิดขึ้นของวาทกรรมแต่ละชุดในแต่ละเรื่องย่อมมีจุดประสงค์ ตัวอย่างเช่น วาทกรรมของกลุ่มที่ต่อต้านเกย์ ก็มีจุดประสงค์เพื่อที่จะต่อต้านชายที่มีพฤติกรรมรักร่วมเพศ และพยายามที่จะแสดงให้เห็นว่าพฤติกรรมรักร่วมเพศเป็นพฤติกรรมที่ขัดต่อศีลธรรมอันดีของสังคม และยังเป็นการละเมิดบรรทัดฐานของสังคม ตลอดจนถือว่า พฤติกรรมเช่นนี้เป็นสิ่งผิดปกติและสมควรที่จะได้รับการแก้ไขให้ถูกต้อง เป็นต้น วาทกรรมแต่ละชุดในเรื่องเดียวกันจึงมีปฏิสัมพันธ์กันในเชิงขัดแย้งอยู่เสมอ แต่ละวาทกรรมต่างก็มีฐานทางความคิดที่สร้างขึ้นมาเพื่อสร้างความถูกต้องให้กับวาทกรรมของกลุ่มตน" (ขอขอบคุณข้อมูลจากวิกิพีเดีย)</div><br /><div align="justify"><br />ในบริบททางวิชาการ ผลงานชิ้นใดมีโอกาสนำ "ตู่" มาใช้เชื่อมโยงอย่างสอดรับกับเหตุผลและหลักฐานประวัติศาสตร์ได้มากเพียงใด หรือ สะท้อนความคิดในการตอบโจทย์ต่อสังคมได้ลุ่มลึกน่าเชื่อถือมากเพียงใด ก็ยิ่งสร้างอำนาจในการผลิตความน่าเชื่อถือต่อความคิดตามโครงเรื่องของตนมากเพียงนั้น<br />ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ สังคมอาจจะคิดตรงกันข้ามกับนักทฤษฎี "ตู่" ผู้นั้น<br /><br />แม้ "ตู่" จะมีอิทธิพลต่อความคิดของนักวิชาการสายสังคมศาสตร์นานเกิน 30 ปี โดยผู้ใช้ทฤษฎี "ตู่" ของมิเชล ฟูโกลต์ในรูปของ "วาทกรรม- discourse" คนแรก คือ สมเกียรติ์ วันทะนะ บรรณาธิการการของจดหมายข่าวสังคมศาสตร์ แต่ผู้เขียนก็มีโอกาสได้เปิดหูเปิดตากับทฤษฎี "ตู่" ในรูปคำของ "วาทกรรม" เมื่อประมาณ พ.ศ. 2538 "แบบบ่งวย บ่งง" จากการยกขึ้นมาถกเถียงในชั้นเรียนของทวีศักดิ์ เผือกสม เพื่อนร่วมรุ่นผู้สนใจปรัชญาตะวันตกอย่างเร่าร้อน จากนั้นก็ได้อาศัยลมปากกระเซ็นกระสายจากทฤษฎี "ตู่" ของมิเชล์ ฟูโกลต์ ไปใช้"ประโดยคำ" ดวยความภาคภูมิใจ<br />ทฤษฎี "ตู่" ใช้กันมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งในวงการน้ำหมึกและวงการข่าวจอแก้ว กิรได้เห็นมา ฤาษีใหญ่ ฤาษีน้อยเวลาจะทิ่มใคร ประเด็นไหนก็ต้องยก "ตู่" ขึ้นมาตกแต่งอาภรณ์คำ ..... ธำรงศักดิ์"ชี้" " วาทกรรม" สร้างสำนึก"เสียดินแดน" เป็นเครื่องมือกุมอำนาจ (ขอขอบคุณ www.matichon.co.th) เป็นต้น<br /><br /><span style="font-size:130%;">นั่นคือ ธำรงศักดิ์เสนอว่า ความคิดเรื่องการเสียดินแดน เป็น "ตู่" ของผู้ปกครองในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ขณะเดียวกันหลักฐานต่างๆที่ธำรงศักดิ์นำมาอ้างอิงสนับสนุนแนวคิดตนก็เป็น "ตู่" อีกรูปแบบหนึ่งเช่นกัน</span><br /><br /><span style="font-size:180%;">ลักษณะดังกล่าวจึงเป็นเหมือนการสร้าง "ตู่ใหม่" ขึ้นมาล้มล้างความเชื่อของ "ตู่เก่า" หรือ จะกล่าวอีกนัย คือ เป็นการพยายามรวบรวมหลักฐานขึ้นมาเพื่อชี้ว่า "ตู่เก่า" เป็นความคิดผิดๆ ขอให้หันมาเชื่อ "ตู่ใหม่" กันเถิด.....นั่นเอง</span></div>พิทยะ ศรีวัฒนสาร Bidya Sriwattanasarnhttp://www.blogger.com/profile/10428259282087504977noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7319420738450394079.post-58988262735063053772012-02-21T02:08:00.002-08:002012-03-24T01:39:58.676-07:00ฤาษีรังแกฉัน!<div class="widget Blog" id="Blog1"><br /><div class="blog-posts hfeed"><br /><div class="date-outer"><br /><h2 class="date-header"><span style="FONT-WEIGHT: normal;font-size:100%;" >โดย </span><a style="FONT-WEIGHT: normal; FONT-SIZE: 100%" href="http://www.facebook.com/profile.php?id=100001503294671">Bidya Sriwattanasarn</a><span style="FONT-WEIGHT: normal;font-size:100%;" > เมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 เวลา 11:45 น. ·</span></h2><br /><div class="date-posts"><br /><div class="post-outer"><br /><div class="post hentry"><br /><div class="post-body entry-content" id="post-body-8632465456676281462"><br /><div align="justify">เมื่อก่อนเชื่อกันว่า ยิ่งมีความรู้ก็ยิ่งคุยกันรู้เรื่อง ไม่ต้องพูดมาก และตั้งแต่โบราณนานมาแล้วที่ฤาษีได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้รู้ผู้สั่งสอนศิลปาคม ช่วยกันสร้างบ้านแปงเมืองให้กุลบุตรกุลธิดา วาสุเทวฤาษีแห่งดอยสุเทพและสุกกะทันตฤาษีแห่งเมืองละโว้ช่วยกันสร้างเมืองหริภุญชัยเมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่12-13 พ่อขุนรามคำแหง พ่อขุนงำเมืองและพญามังรายก็เรียนศิลปวิทยาการร่วมguru เดียวกันที่เมืองละโว้<br /><br />ไม่ว่าฤาษี มหาฤาษี หรือครูบาอาจารย์ในอดีต ล้วนมีส่วนร่วมกันสร้างชาติบ้านเมืองให้อยู่ร่วมกันเป็นปึกแผ่นมั่นคงมาถึงทุกวันนี้ ทั้งทางตรงหรือทางอ้อมไม่น้อยหน้าขุนทหารคนใด แม้ว่าครู หรือ มหาฤาษีจะไม่ต้องสละเลือดพลีชีพดังทหารหาญรั้วของชาติก็ตาม<br /><br />อนิจจา ทุกวันนี้ ยิ่งเรียนมาก ยิ่งรู้มาก ยิ่งคุยกันไม่รู้เรื่อง ฤาษี มหาฤาษี บางตนจึงประสานเสียงร่ายมนตาสามัคคีเภท(มนตราทำลายความสามัคคี เทียบได้กับคำว่า สามัคคีภิทโทษ) กัดกร่อนวิถีความเป็นไทย โยกคลอนสถาบันหลักของประเทศโดยอ้างคาถาเสรีภาพทางวิชาการที่เกินขอบเขต ลืมสิ่งอันควรหรือมิควรที่เคยฝังรากลึกอยู่ในวัฒนธรรมสยาม<br /><br />ฤาษีบางตนบอกว่า ฤาษีที่ต้องการแก้ไขมาตรา 112 "หลายๆ ท่านเป็นนักประวัติศาสตร์ที่มีความรู้ประวัติศาสตร์อย่างแท้จริง เป็นวิทยาศาสตร์มากกว่าที่เรียนกันในโรงเรียนที่ท่านรัฐมนตรีเรียนอย่างแน่นอน"<br /><br />ฤาษีบางตนบอกว่า ผู้อื่นไม่มีเหตุผลเพียงพอ แต่กลับกล่าวอุปมาแบบไม่เป็นวิทยาศาสตร์ว่า หากท่านเจ้าของชื่อทุนยังมีชีวิตอยู่ในวันนี้ ท่านอาจจะผิดหวังที่....<br /><br />ฤาษีบางตนอ้างว่า ถูกเหยียบหัว ทั้งๆที่ตนเองกำลังย่ำหัวใจของเพื่อนร่วมชาติ มหาฤาษีตนหนึ่งบำเพ็ญตบะมานาน ยกย่องนารีน้อยผู้หลงผิดนางหนึ่ง และทำนายว่าจากผลงานที่เห็น เธอผู้นั้นสามารถจะขึ้นชั้นเป็นมหาเสนาบดีได้ต่อไปในภายภาคหน้า โดยมิได้บอกกล่าวให้หมดเปลือกว่าไปว่า ผู้จะนั่งในตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงได้นั้น มิใช่ว่ามีแค่เพียงความกล้าที่จะฉีกประเพณีอันดีงานในบ้านเมืองแล้วก็จะขึ้นไปบริหารประเทศได้อย่างราบรื่น แต่ยังต้องมีสติปัญญาเฉลียวฉลาด มีเพื่อน มีสังคม มีธรรมชาติและบุคลิกภาพที่สุขุม นุ่มนวล รอมชอม มีวิสัยทัศน์ ฯลฯ </div><br /><br /><div align="justify"></div><br /><div align="justify"><span style="font-size:130%;">ชมอย่างนี้ หากไม่รู้เท่าทัน ก็เหมือนกึ่งชมกึ่งผลักให้ตกกระได!</span><br /><br />มหาฤาษีตนหนึ่งเสวยสุขอยู่ต่างแดนมานานหลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ แต่ยังแวะเวียนเหาะมาร่าย "ภิทคาถา" ย่อยเป็นระยะๆ ล่าสุดแถลงว่า <span style="font-size:130%;">"อีก 50 ปี ประชาชนไทยจะตระหนักในคุณค่าแห่งมนตราภิทคาถาของคณะฤาษีหมอความ !"<br /></span><br />ประวัติศาสตร์ชาติไทยมิได้เริ่มต้นเมื่อพ.ศ.2475 วีรบุรุษของคนไทยก็มีหลากหลาย ทุกระดับ ทุกชนชั้น มิได้มีเพียงปัญญาชนจากตระกูล "ผู้มีอันจะกิน" เพียงคนเดียวอย่างที่พยายามจะบอกให้เห็นคล้อยตาม<br /><br />นักประวัติศาสตร์ในอดีตมีผลงานที่บ่งชี้ว่า บันทึกเหตุการณ์เพื่อสร้างความปรองดองและการอยู่ร่วมกันของชนทุกหมู่เหล่าภายในชาติ ชีวิตที่เรียบง่ายในอดีตของชาวบ้านที่ตื่นขึ้นมาออกไปทำมาหากินในไร่ ในสวน ในนา หรือ เข้าเดือน ส่วนแม่บ้านและลูกๆ ก็ทำอาหาร ล้างถ้วยจาน ถักทอผ้า ประดิษฐ์ประดอย หรือ ค้าขาย ถึงวันนักขัตฤกษ์ก็ร้องรำทำเพลง ทำบุญ ทำขวัญให้กำลังใจกันเช่นนี้ ชั่วนาตาปี ไม่เกี่ยวข้องกับการบ้านการเมือง เรื่องพื้นบ้านพื้นเมืองจึงเป็นเพียงถ่ายทอดสู่กันฟังแบบปากต่อปาก </div><br /><br /><div align="justify"></div><br /><div align="justify">ความพยายามในอดีตที่จะเสกสร้างรัฐธรรมนูญที่ไม่มีชีวิตให้กลายเป็นสถาบันหลักแทนที่สถาบันเก่าแก่ของชาติจึงไม่ประสบผลสำเร็จ<br /><br />ขณะที่เรื่องราวของบ้านเมืองทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพงศาวดาร การทำสงคราม กฏหมาย กฎมนเทียนบาล การบูรณะซ่อมสร้างศาสนสถาน การติดต่อกับต่างประเทศ ฯลฯ กลับถูกบันทึกไว้อย่างละเอียด<br /><br />หลักฐานของทูตPero Vaz de Sigeirra (ค.ศ.1684-1686) ระบุว่า ระหว่างการเข้ามาเจรจา เรื่อง การเตรียมการเข้าเฝ้าสมเด็จพระนารายณ์ ขุนนางที่เดินทางมาพบทูต มี "note book(สมุดบันทึก)" มาด้วยเสมอ นอกจากนี้หลักฐานของชาวฝรั่งเศสคนหนึ่งก็ยืนยันว่า ชาวสยามเป็นคนที่มีนิสัยการชอบจดบันทึก ชี้ให้เห้นถึงความตระหนักในหน้าที่ขององค์การปกครองในอดีตเป็นอย่างดี ทำให้อดคิดแบบท้าทายไม่ได้ว่า ผลงานเล่มหนาของชิมง เดอ ลาลูแบร์ และบาทหลวงทิโมลิอง เดอ ชัวซี ที่อ้างจดหมายเหตุของคนชาติตะวันตกยันกลับไปกลับมา และยังอ้างข้อมูลจาก Incognita Informants (แหล่งข้อมูล) ชาวสยามด้วย </div><br /><div align="justify"></div><br /><div align="justify"><span style="font-size:130%;">ซึ่งดีไม่ดีข้อมูลมากมายส่วนหนึ่งอาจคัดลอหรือแปลมาจากเอกสารภาษาสยามโดยตรงก็ได้<br /></span><br />แล้วฤาษี มหาฤาษีแห่งกาลบัดนี้ ย้อนดูตัวเองบ้างหรือไม่ว่า ยังสร้างคุณประโยชน์ตอบแทนแผ่นดินเกิดเพียงพอแล้วหรือยัง...หยุดร่ายมนตราสามัคคีภิทคาถาเถิด</div><br /><div align="justify"></div><br /><div align="justify"><span style="font-size:130%;">...หยุดสร้างความสับสนและร้าวฉานให้แก่คนในชาติบ้านเมืองเสียที!</span></div></div></div></div></div></div></div></div>พิทยะ ศรีวัฒนสาร Bidya Sriwattanasarnhttp://www.blogger.com/profile/10428259282087504977noreply@blogger.com0